วันพุธที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เจาะลึกเทคโนโลยีสำหรับคนรักโน๊ตบุ๊ค

Intel Centrino Processor Technologyเจาะลึกเทคโนโลยีสำหรับคนรักโน๊ตบุ๊ค



หลายคนอาจจะยังสงสัย และยังสับสนถึงแบรนด์ "เซนทริโน" อยู่นะครับ ซึ่งวันนี้ผมจะมาอัพเดทถึงเซนทริโนในเจเนอเรชันใหม่ล่าสุด (จัดว่าเป็นเจเนอเรชันที่ 4 ของเซนทริโนแล้ว) ที่ทางอินเทลเพิ่งจะทำการเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2550 ที่ผ่านมานี้เอง โดยมีความเปลี่ยนแปลงต่างๆ เกิดขึ้นมากมายพอสมควรกับแพลทฟอร์มเซนทริโน ภายใต้รหัสพัฒนา "Santa Rosa" ที่ถือว่าเป็นแพลทฟอร์มของเซนทริโนในปี 2007 และเป็นเรื่องราวที่ผมจะมาเจาะลึกให้ฟังกันในวันนี้ครับ

ขอขอบคุณ คุณ Spin9 แห่ง Overclockzoneณ ที่นี้ด้วยคับสำหรับข้อมูล

Santa Rosa - The 4th Generation of Intel Centrino
Introducing Intel Centrino Processor Technology



คงเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้ว ว่าอินเทล ผู้นำทางด้านเทคโนโลยีสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ ได้เปิดตัวแบรนด์ที่เรียกว่า Intel Centrino Mobile Technology มาเพื่อเป็นคอนเซปท์ของเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค และประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ชนิดที่เรียกได้ว่า ใครจะซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คมาใช้งานซักเครื่อง จะต้องเรียกหาสัญลักษณ์ "เซนทริโน" บนเครื่องกันเลยทีเดียว และ เดินทางมาถึงปี 2007 นี้ จัดว่าเป็นปีที่ 4 ของเซนทริโนแล้ว (เปิดตัวครั้งแรกเมื่อเดือนมีนาคม 2003) ซึ่งที่ผ่านมา ก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆ เกิดขึ้นครั้งหนึ่ง เมื่อช่วงต้นปี 2006 ที่ทางอินเทลได้ทำการ "เปลี่ยนโลโก้" ยกแผงทั้งองค์กร ทำให้สัญลักษณ์ของเซนทริโนได้เปลี่ยนแปลงไปด้วย (รวมไปถึงการแนะนำเทคโนโลยีดูอัล-คอร์สำหรับแพลทฟอร์มเซนทริโนเป็นครั้งแรก) แต่ก็ยังคงมีหน้าตาของ "ผีเสื้อ" สีน้ำเงิน-แดง ปรากฏอยู่ให้เห็นเช่นเดิมอย่างที่ปรากฏกันอยู่ในเครื่องโน้ตบุ๊คหลากหลายรุ่นในท้องตลาดปัจจุบัน ... แต่เมื่อมาถึงเจเนอเรชันล่าสุด หรือเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2007 ที่ผ่านมานั้น ทางอินเทลได้ทำการ "เปลี่ยนชื่อเต็ม" ของเทคโนโลยีเซนทริโน จาก Intel Centrino Mobile Technology มาเป็น Intel Centrino Processor Technology รวมไปถึงการแนะนำ "Intel Centrino Pro" เป็นครั้งแรก และยังทำการ "เปลี่ยนโลโก้" อีกครั้ง โดยการตัดสัญลักษณ์ "ผีเสื้อ" ออกไป และใช้สีแดงในการเน้นคำว่า "Centrino" ให้มีขนาดที่ใหญ่ขึ้น ตามสัญลักษณ์ในภาพที่ปรากฏอยู่ด้านบนครับ

อย่างไรก็ตาม ในเจเนอเรชันล่าสุดของ เซนทริโน ที่อินเทลเพิ่งทำการเปิดตัวออกมานี้ มันก็ยังคงคอนเซปท์ของ เซนทริโน เอาไว้อย่างครบถ้วน นั่นก็คือการมุ่งเน้นให้เครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค มีความสัมพันธ์กันระหว่าง Performance, Battery Life, Thinner and Lighter และความสามารถทางด้าน Wireless กันอย่างสมดุลย์ ซึ่งเป็นเรื่องที่อินเทลวาดไว้ตั้งแต่เปิดตัวแบรนด์เซนทริโนครั้งแรกในปี 2003 ครับ ... รวมไปถึงการที่มันจะต้องมีองค์ประกอบสามอย่างรวมกัน คือ ซีพียู, ชิปเซ็ท และ ชิปควบคุมไวร์เลสแลน ตามสเป็คที่อินเทลระบุไว้ โดยในแพลทฟอร์มของ Intel Centrino Processor Technology หรือแพลทฟอร์ม Santa Rosa นั้น ทางอินเทลได้ระบุเอาไว้ตามนี้ ...

- Intel® Core™ 2 Duo Processor
- Mobile® 965 Express Chipset Family
- Intel® Next-Gen Wireless-N or Intel@ PRO/Wireless 3945ABG Network Connection

ประการแรก คือ ซีพียูตระกูล Intel Core 2 Duo ซึ่งถือว่าเป็นซีพียูที่มีประสิทธิภาพสูง และเป็นซีพียูชนิดดูอัล-คอร์ (ทำให้แพลทฟอร์ม Santa Rosa ทั้งหมด ณ วันเปิดตัว เป็น Dual-Core แต่ก็มีข่าวลือว่า เราอาจะได้เห็น Intel Core 2 Solo ตามมาภายในปีนี้ครับ), ประการถัดมา คือในส่วนของชิปเซ็ท ที่ได้มีการขยับมาใช้ชิปเซ็ทในตระกูล 965 ที่มีการรองรับในส่วนของอุปกรณ์เชื่อมต่อรอบด้านที่ดีขึ้น รวมถึงมีความสามารถทางด้านกราฟฟิกของ Intel GMA ที่สูงขึ้นกว่าตระกูล 945 ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน (แพลทฟอร์ม Napa) และประการสุดท้าย ที่ดูเหมือนจะเป็นพระเอกของแพลทฟอร์ม Santa Rosa ก็คือชิปไวร์เลสแลน ที่อินเทลรับรองตั้งแต่ชิปไวร์เลสแลนรุ่นที่ใช้กันอยู่เดิม (3945ABG) หรือถ้าโน้ตบุ๊คบางรุ่นจะขยับไปใช้ชิปไวร์เลสรุ่นใหม่อย่าง Intel Wireless WiFi Link 4965AGN ที่รองรับ "Wireless-N" ก็ไม่ว่ากัน (แต่ดูเหมือน Wireless-N ในเมืองไทย จะยังไม่ค่อยเห็นหนทางอันสดใสนัก ซึ่งต้องรอทาง กทช. อนุมัติช่องสัญญาณกันต่อไป)

Mobile Intel Core 2 Duo Processor
with Up to 4MB L2 Cache and 800 MHz FSB !!

องค์ประกอบแรก ที่เราจะพูดถึงกันในวันนี้ ก็คือในส่วนของซีพียูครับ โดยแพลทฟอร์ม Santa Rosa หรือ Intel Centrino Processor Technology นี้ มีการขยับปรับเปลี่ยนไปใช้ซีพียูที่มีสเป็คสูงขึ้น ซึ่งหลักๆ แล้ว ก็คือในเรื่องของ Front Side Bus (FSB) จากเดิม 667MHz มาเป็น 800MHz แต่มันยังคงเป็นซีพียูในตระกูล Intel Core 2 Duo ในโค้ดเนม Merom เหมือนเดิม ... อย่างไรก็ตาม ซีพียู Core 2 Duo ที่มี FSB 800MHz นี้ ไม่สามารถนำไปใช้งานร่วมกับโน้ตบุ๊คที่เป็นชิปเซ็ทเก่าได้ ทางอินเทลจึงจำเป็นต้องทำการ "เปลี่ยนซ็อกเกต" ของซีพียู จาก ซ็อกเกต M ไปเป็น ซ็อกเกต P ครับ (มี 478 พินเท่าเดิม)




ถึงแม้ว่า การเปลี่ยนซ็อกเกต ของซีพียูของโน้ตบุ๊คนี้ จะไม่ได้ส่งผลโดยตรงต่อผู้ใช้งาน เนื่องจากเครื่องโน้ตบุ๊คที่วางขายกัน ก็เป็นเครื่องที่ประกอบสำเร็จมาจากโรงงานอยู่แล้ว ที่ต่างจากเครื่องเดสก์ท็อปที่เราสามารถซื้อแยกชิ้นมาประกอบกันเอง และต้องพิจารณาถึงความเข้ากันได้ในหลายๆ ส่วน แต่ข้อมูลตรงนี้ ก็เป็นเกร็ดน่ารู้และเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ยากครับ

อย่างที่บอกไปว่า การเปลี่ยนแปลงหลักๆ ในส่วนของซีพียูนี้ คือการขยับไปใช้ซีพียูที่มี FSB สูงขึ้นกว่าเดิมเท่านั้น ซึ่งในส่วนของฟีเจอร์ต่างๆ รวมไปถึงชุดคำสั่งของตัวซีพียู ยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ มันยังคงเป็นซีพียู Mobile Intel Core 2 Duo เช่นเดิม แต่การขยับ FSB ไปเป็น 800MHz นั้น ย่อมจะส่งผลต่อประสิทธิภาพโดยรวมของระบบอย่างปฏิเสธไม่ได้ครับ ในเบื้องต้น ทางอินเทลได้ปล่อยซีพียู Merom ในรุ่น FSB 800MHz (หรือในซ็อกเกต P) ออกมาเพียง 4 โมเดลเท่านั้น คือโมเดล T7700, T7500, T7300 และ T7100 ตามตารางข้อมูลที่ผมได้สรุปมาให้ชมด้านล่างนี้


ณ วันที่ทำการเปิดตัวแพลทฟอร์ม ต้องเรียกว่ามีซีพียูตัวเลือกสำหรับแพลทฟอร์ม Santa Rosa ไม่มากนักครับ แต่ในอนาคต ทางอินเทลจะทยอยปล่อยซีพียูในซ็อกเกต P ออกมาเรื่อยๆ รวมไปถึงการวางแผนถึงซีพียู Extreme Edition สำหรับโน้ตบุ๊คด้วย (ใช่แล้วครับ เรามีสิทธิ์จะได้เห็น Core 2 Extreme สำหรับโน้ตบุ๊ค ในแพลทฟอร์ม Santa Rosa นี้แหละ) และแน่นอนว่า จะต้องมีซีพียูในรุ่นประหยัดพลังงาน อย่าง LV (Low Voltage) และ ULV (Ultra Low Voltage) ตามออกมาด้วย

อีกหนึ่งข้อสังเกตคือ ทางอินเทลยังไม่มีการพูดถึงซีพียูที่เป็นซิงเกิล-คอร์ ในแพลทฟอร์มของ Santa Rosa ครับ นั่นคือ องค์ประกอบที่จะสรุปออกมาเป็นแพลทฟอร์มที่ชื่อ Intel Centrino Processor Technology ณ วันที่เปิดตัวนั้น จำเป็นที่จะต้องมีประสิทธิภาพในการทำงานของซีพียูในระดับ Dual-Core ขึ้นไปเท่านั้น... ซึ่งนับว่าเป็นผลดีต่อการประมวลผลโดยรวมของเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คอย่างแท้จริง แต่อย่างที่เรียนไปแล้วว่า เรามีโอกาสจะได้เห็นแบรนด์ Intel Core 2 Solo ที่จะตามออกมา แต่ยังไม่มีความชัดเจนว่า Core 2 Solo จะถูกนับเป็นแพลทฟอร์ม Intel Centrino Processor Technology หรือไม่ เพราะเท่าที่ผมทราบมา Core 2 Solo จะมาในเวอร์ชัน ULV ประหยัดพลังงานพิเศษเท่านั้น

Intel Dynamic Acceleration

อีกหนึ่งฟีเจอร์ใหม่ที่มากับซีพียู Intel Core 2 Duo ในแพลทฟอร์ม Santa Rosa นี้ มีชื่อว่า Intel Dynamic Acceleration ครับ ซึ่งทางอินเทลได้พัฒนาฟีเจอร์นี้ออกมาเพื่อรองรับกับแอพพลิเคชันบางตัว ที่ไม่มีการรองรับความสามารถของ Dual-Core อย่างเช่นเกมส์บางเกมส์ หรือ การเรนเดอร์ผ่านโปรแกรมบางตัว เป็นต้น

การทำงานของ Intel Dynamic Acceleration นี้ มันจะทำการ "แปรสภาพ" จากซีพียู Dual-Core มาเหลือเพียง Single-Core และเร่งความเร็วสัญญาณนาฬิกาให้สูงขึ้น (ด้วยตัวของมันเอง และเรียกสถานะนี้ว่า Turbo Mode) ซึ่งสามารถดูตัวอย่างได้จากตารางทางด้านซ้ายมือนี้ครับ เช่น ซีพียู Dual-Core ความเร็ว 2.4GHz อาจแปรสภาพมาเป็น Single-Core ความเร็ว 2.6GHz ได้ เมื่อแอพพลิเคชันบางตัวถูกเรียกขึ้นมาใช้งาน ในขณะที่ค่า TDP หรือพลังงานความร้อนที่ปล่อยออกมาจากตัวซีพียู ยังคงเท่าเดิม (เนื่องจากมีการ "ปิด" คอร์ที่ไม่ได้ใช้ไป) ... ทั้งหมดนี้ จะถูกทำงานโดยอัตโนมัติ ผ่านการควบคุมของแพลทฟอร์ม ชิปเซ็ท และไดรเวอร์ครับ เป็นฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจ และ ดูเหมือนจะเห็นผลในการใช้งานจริงได้ดีทีเดียว

Mobile Intel® 965 Express Chipset Family

องค์ประกอบถัดมาที่เป็นตัวขับเคลื่อนหลัก ก็คือในส่วนของชิปเซ็ทครับ ที่ในแพลทฟอร์ม Intel Centrino Processor Technology นี้ มีการขยับรุ่นของชิปเซ็ทจากตระกูล 945 มาเป็นตระกูล 965 ที่มีความสามารถในการรองรับอุปกรณ์เชื่อมต่อต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นการรองรับซีพียู Core 2 Duo รุ่นที่มี FSB 800MHz, รองรับ SATA 3.0Gb/s เต็มรูปแบบ, รองรับระบบปฏิบัติการวินโดวส์ วิสต้า, รองรับ USB 2.0 ในแบนด์วิธ และจำนวนที่มากขึ้น, มีชิปกราฟฟิกติดตัวที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น (สำหรับชิปเซ็ท GM965), รองรับ Intel Active Management Technology ทั้งแบบมีสาย และ แบบไร้สาย (เฉพาะแพลทฟอร์ม Intel Centrino Pro) และอื่นๆ ที่เป็นพื้นฐานของการมาถึงของชิปเซ็ทใหม่ๆ ครับ


Mobile Intel® Graphics Media Accelerator X3100

สิ่งที่ตามมาแน่นอนกับชิปเซ็ทใหม่ ก็คือความสามารถทางด้านกราฟฟิกครับ โดยชิปเซ็ทอินเทลในรุ่นที่มีกราฟฟิกอินทิเกรตติดตัวมาด้วย สำหรับชิปเซ็ทในตระกูล Mobile Intel 965 Express Chipset ก็คือรุ่น Intel GM965 ที่จะมีกราฟฟิกชิปของอินเทลฝังติดตัวมา และก็เป็นกราฟฟิกชิปในชื่อรุ่นใหม่ อย่าง Intel Graphics Media Accelerator X3100 (Intel GMA X3100) ที่มีการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพรวมถึงฟีเจอร์ต่างๆ ที่ดีกว่า Intel GMA 950 (ที่ฝังมากับชิปเซ็ท 945GM เดิม) ค่อนข้างมากทีเดียว


Intel Graphics Media Accelerator X3100 มาพร้อมกับความเร็วกราฟฟิกที่สูงถึง 500MHz รองรับเทคโนโลยีการแชร์และจัดการหน่วยความจำ Intel Dynamic Video Memory Technology (DVMT) ในเวอร์ชันที่ 4, รองรับ DirectX เวอร์ชัน 9 พร้อม OpenGL เวอร์ชัน 1.5 ซึ่งสามารถรันระบบปฏิบัติการวินโวส์ วิสต้า ในโหมด Aero ได้เลยจากกราฟฟิกออนชิปตัวนี้ครับ นอกจากนี้ มันยังมีระบบการจัดการทางด้านพลังงาน เพื่อเพิ่มระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ต่อการชาร์จให้สูงขึ้นกว่าเดิมด้วย

ในส่วนของเทคโนโลยีใหม่ ที่ทางอินเทลได้เพิ่มเข้าใน GMA X3100 ตัวนี้ ก็คือเทคโนโลยีที่มีชื่อว่า Intel Clear Video Technology ที่อินเทลเคลมว่ามันสามารถแสดงผลได้คมชัด และมีความแม่นยำกว่าเดิม และผ่านการทดสอบ HQV (Hollywood Quality Video) Benchmark ได้ผลคะแนนที่สูงขึ้นกว่า GMA950 ตัวเดิมถึง 3 เท่าตัว ในขณะที่ประสิทธิภาพของมัน ก็สูงขึ้นกว่าเดิมด้วย โดยมันสามารถทำการ benchmark โปรแกรม 3DMark06 ได้ผลคะแนนสูงกว่าเดิมถึง 2 เท่าตัวครับ นี่ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของชิปกราฟฟิกที่อินทิเกรตมากับเครื่องโน้ตบุ๊คอีกครั้ง แบบที่ไม่ต้องง้อชิปกราฟฟิกแบบภายนอก ที่จะเป็นการเพิ่มค่าใช้จ่ายให้กับโน้ตบุ๊ค รวมไปถึงเพิ่มอัตราการใช้พลังงานด้วย

Mobile Intel® GM965 Express, PM965 Express Chipset

ในเบื้องต้น ณ วันที่ทำการเปิดตัวแพลทฟอร์ม Santa Rosa นั้น ทางอินเทลได้ส่งชิปเซ็ทในตระกูล Mobile Intel 965 Express ออกมาเพียง 2 รุ่นเท่านั้นครับ ก็คือในรุ่น PM965 ที่ไม่มีกราฟฟิกอินทิเกรตมา (ต้องอาศัยชิปกราฟฟิกภายนอก) กับรุ่น GM965 ที่มาพร้อมกับกราฟฟิก GMA X3100 ในขณะที่มันมีฟีเจอร์อย่างอื่นเหมือนกันทุกประการ และอย่างที่บอกไปแล้วว่า มันมาพร้อมกับซ็อกเกตใหม่ ที่รองรับกับซีพียู Mobile Intel Core 2 Duo ในรุ่นที่มี FSB 800 MHz หรือซ็อกเกต P เท่านั้นครับ (จึงทำให้มันมีซีพียูมารองรับเพียง 4 โมเดลในปัจจุบัน)

และนี่คือตารางเปรียบเทียบคุณสมบัติทางเทคนิคของโมบายล์ชิปเซ็ทในตระกูล 965 (แพลทฟอร์ม Santa Rosa) เทียบกับโมบายล์ชิปเซ็ทในตระกูล 945 (ของแพลทฟอร์ม Napa) ที่ผมสรุปมาให้ชมกันครับ


ข้อมูลในตารางนี้ คือข้อมูล ณ วันที่มีการเปิดตัวแพลทฟอร์มครับ ซึ่งอาจจะมีการเพิ่มเติม เปลี่ยนแปลงสเป็คบางส่วนต่อไปในอนาคต เช่นการรองรับซีพียูในโมเดลที่หลากหลายมากขึ้น รวมไปถึงชิปเซ็ทรุ่นย่อยๆ ที่อาจจะออกมาเป็นรุ่นประหยัด อย่างที่เคยมีมาแล้วในแพลทฟอร์มเซนทริโนรุ่นที่ผ่านๆ มา

Intel® Wireless WiFi Link 4965AGN

องค์ประกอบสุดท้ายของการเป็น "เซนทริโน" ของแพลทฟอร์ม Santa Rosa ก็คือในส่วนของชิปควบคุมการทำงานของไวร์เลส-แลนครับ ซึ่งการเปิดตัวแพลทฟอร์ม Santa Rosa นี้ ทางอินเทลได้ถือโอกาสในการเปิดตัวชิปไวร์เลส-แลนรุ่นใหม่ไปพร้อมกันเลยด้วย ซึ่งมันมาพร้อมกับชื่อรุ่น Intel Wireless WiFi Link 4965AGN (ชื่อยาวเชียว) ซึ่งมีสเป็คบอกในตัวของมันเองแล้วว่า มีการรองรับเทคโนโลยี Wireless-N หรือ มาตรฐาน 802.11n ที่จะถูกประกาศใช้งานอย่างเป็นทางการในปี 2008 แต่ปัจจุบัน ก็เริ่มมีผู้ผลิตอุปกรณ์เน็ตเวิร์กออกมารองรับให้เห็นกันบ้างแล้ว รวมไปถึงมีการใช้งานได้จริงในบางประเทศแล้วด้วย


มาตรฐาน Wireless-N หรือ 802.11n ที่เป็นตัวหลักที่เพิ่มเข้ามาในชิปควบคุมไวร์เลส-แลนรุ่นล่าสุดของอินเทลนี้ ได้อาศัยหลักการของ MIMO หรือ Multiple-Input Multiple-Output เพื่อเพิ่มช่องสัญญาณและเพิ่มช่องทางในการ multiplex ข้อมูลให้มีความเร็วที่สูงขึ้น รวมไปถึงให้มีกำลังสัญญาณที่แรงขึ้น (มีการใช้ตัวรับ-ส่งหลายตัว และเสาอากศหลายตัวในอุปกรณ์ตัวเดียวกัน) มีสเป็คที่น่าสนใจทีเดียวครับ นั่นก็คือ มันจะมีอัตราการรับส่งข้อมูลสูงสุดตามทฤษฎีอยู่ที่ 248 Mbit/s ซึ่งสูงกว่ามาตรฐาน 802.11g ถึงเกือบ 5 เท่าตัว (802.11g มีอัตราการรับส่งสูงสุดที่ 54 Mbit/s) และมีความสามารถในการกระจายสัญญาณได้สูงถึง 70 เมตร (ในอาคาร) ที่สูงกว่ามาตรฐาน 802.11g ถึงสองเท่าครับ


อย่างไรก็ตาม การที่จะประกอบมาเป็นแพลทฟอร์ม Intel Centrino Processor Technology นั้น ทางอินเทลไม่ได้บังคับให้ใช้ชิปไวร์เลส-แลนในรุ่นใหม่เพียงรุ่นเดียว เพราะว่าชิปไวร์เลส-แลนรุ่นเดิม ในรุ่น Intel PRO/Wireless 3945ABG นั้น ก็ยังสามารถนำมาใช้งานกับแพลทฟอร์มนี้ได้เช่นเดียวกัน และก็ถือว่ามันผ่านมาตรฐานของเซนทริโนด้วย นั่นก็คือผู้ผลิตโน้ตบุ๊คสามารถเลือกใช้ชิปไวร์เลส-แลนรุ่นใดก็ได้ในสองรุ่นนี้ เพื่อประกอบเข้ากับเครื่องโน้ตบุ๊คที่ป็นแพลทฟอร์ม Santa Rosa ของตนเอง ตามความเหมาะสมของโน้ตบุ๊คแต่ละรุ่น และเพื่อรักษาระดับราคาไม่ให้สูงจนเกินไปด้วยครับ

Intel® Turbo Memory

การเปิดตัวแพลทฟอร์ม Santa Rosa ครั้งนี้ ทางอินเทลได้ถือโอกาสในการเปิดตัวเทคโนโลยีอีกหลายตัว และหนึ่งในนั้นที่น่าสนใจก็คือ เทคโนโลยีที่มีชื่อว่า Intel Turbo Memory ครับ (รหัสพัฒนา Robson) ที่ผมขอบอกล่วงหน้าไว้ก่อนว่า นี่ไม่ใช่องค์ประกอบที่บังคับของแพลทฟอร์ม Santa Rosa แต่อย่างใด แต่มันมาเป็นออพชั่น สำหรับเสริมหล่อให้กับโน้ตบุ๊คบางรุ่น ที่อยากจะหยิบไปใช้งาน และคอนเซปท์ของมันก็น่าสนใจทีเดียวล่ะครับ



Intel Turbo Memory คือการผสมผสานเอาเทคโนโลยี NAND Flash Memory เข้ามาคั่นกลาง ก่อนที่ระบบจะเรียกข้อมูลจากตัวฮาร์ดดิสก์ ซึ่งหลักการค่อนข้างคล้ายคลึงกับเทคโนโลยี ReadyBoost ของระบบปฏิบัติการวินโดวส์ วิสต้า และก็คล้ายกับเทคโนโลยี ReadyDrive ของ Hybrid Disk ด้วย .. ซึ่งก็ไม่แปลกครับ เพราะเทคโนโลยี Intel Turbo Memory นี้ เมื่อถูกนำมาใช้งานกับระบบปฏิบัติการวินโดวส์ วิสต้าแล้ว มันจะถูกเปิดใช้งานฟีเจอร์ ReadyBoost และ ReadyDrive ไปในเวลาเดียวกันเลย (เสมือนกับเราเสียบ USB Flash Drive เพื่อเปิด ReadyBoost และใช้งาน Hybrid Disk เพื่อเปิด ReadyDrive ไปพร้อมกัน) ที่นอกเหนือจากเป็นการเพิ่มความเร็วในการเข้าถึงข้อมูลจากฮาร์ดดิสก์แล้ว มันยังเป็นตัวลดภาระการทำงานของฮาร์ดดิสก์ลง ซึ่งจะส่งผลไปถึงอายุการใช้งานของฮาร์ดดิสก์ที่ยาวนานขึ้น และเป็นการใช้พลังงานโดยรวมของระบบที่ลดลงกว่าเดิมด้วยล่ะครับ

สำหรับเทคโนโลยี Intel TurboMemory นี้ มันจะมาในรูปแบบของ "ออพชั่น" เสริมสำหรับโน้ตบุ๊คบางรุ่น โดยมันจะมาในอินเตอร์เฟซ PCI Express ที่มีชิป NAND Flash ติดตั้งอยู่ (เบื้องต้น ทางอินเทลจะเป็นผู้ผลิตการ์ดตัวนี้ แต่ในอนาคต ก็จะมีผู้ผลิตรายอื่นๆ ทำออกมารองรับในตลาดเมื่อได้รับความนิยมมากขึ้น) ซึ่งหลักการค่อนข้างคล้ายคลึงกับการใช้งาน USB Flash Drive ในการเปิดการทำงานของ ReadyBoost แต่การใช้อินเตอร์เฟซ PCI Express ที่ฝังอยู่ภายในเครื่อง จะให้แบนด์วิธที่สูงกว่า รวมไปถึงใช้พลังงานน้อยกว่า USB ถึง 1 ใน 3 ครับ ... ออพชันเสริมตัวนี้ ดูน่าสนใจไม่น้อยเลยกับโน้ตบุ๊คในแพลทฟอร์ม Santa Rosa และอินเทลเคลมว่า มันเป็นออพชันที่มีราคาไม่แพงมากนัก เนื่องจากปัจจุบันเทคโนโลยี NAND Flash มีราคาที่ถูกลงกว่าเดิมมาก และขนาดของ Flash Memory ที่จะนำมาใช้กับเทคโนโลยี Intel Turbo Memory ก็ไม่จำเป็นต้องมีขนาดใหญ่มากครับ (ซัก 512MB - 1GB ก็โอเคแล้ว)

Main Features - Santa Rosa 2007

สำหรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น และฟีเจอร์หลักๆ ของ "เซนทริโนใหม่" หรือแพลทฟอร์ม Santa Rosa นั้น เพื่อให้เข้าใจง่าย และ ไม่เกิดความสับสน ผมขอสรุปให้ฟังเป็นข้อๆ ตามนี้ครับ

- มีการขยับไปใช้ซีพียู Core 2 Duo ที่มีความเร็ว FSB สูงขึ้น จากเดิม 667MHz มาเป็น 800MHz ซึ่งยังคงเป็นซีพียู Core 2 Duo ในโค้ดเนม Merom เหมือนเดิม (มีทั้งรุ่นที่มีเคชระดับสองขนาด 4MB และ 2MB)

- มีการเปลี่ยนซ็อกเกตของซีพียู เพื่อไม่ให้ผู้ผลิตเกิดความสับสน เผลอนำซีพียูใหม่ (ที่มี FSB 800MHz) ไปใช้กับชิปเซ็ทเก่า (ที่รองรับเพียง FSB 667MHz) ซึ่งเป็นการสลับพินของซีพียูเท่านั้น แต่ก็มีการเรียกชื่อจากซ็อกเกต M ไปเป็นซ็อกเกต P

- ชิปเซ็ทใหม่ คือชิปเซ็ทตระกูล Mobile Intel 965 Express Chipset จะมาพร้อมกับชิปเซ็ทเซาท์บริจในตระกูล ICH8 ซึ่งมีฟีเจอร์ใหม่ล่าสุด ที่เรียกว่า Dynamic Front Side Bus Switching ที่จะไปควบคุมความเร็ว FSB อันจะช่วยในการลดอัตราการใช้พลังงานของซีพียูลงเมื่อซีพียูไม่ได้ถูกใช้งาน และแน่นอนว่า มันจะช่วยให้เราสามารถประหยัดแบตเตอรี่ได้มากขึ้นกว่าเดิม

- ชิปกราฟฟิกใหม่ ที่มาพร้อมกับชิปเซ็ท มีชื่อว่า Intel Graphics Media Accelerator X3100 มีความสามารถในการรองรับวินโดวส์ วิสต้า ในโหมด Aero รวมถึงรองรับ DirectX 9.0 พร้อม OpenGL 1.5 และมาพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่ Intel Clear Video Technology ที่ไปเพิ่มความคมชัด และความแม่นยำในการนำเสนอของภาพเคลื่อนไหว

- ชิปไวร์เลสแลนตัวใหม่ ในรุ่น 4965AGN รองรับมาตรฐาน Wireless-N ที่จะช่วยให้การสตรีมข้อมูล โดยเฉพาะ การสตรีมวีดีโอ ผ่านแลนไร้สาย มีความเร็วที่สูงขึ้น และตามทฤษฎีแล้ว มีความเร็วสูงกว่าแลนมีสายในปัจจุบันเสียอีก (หากระบบพื้นฐานรองรับ Wireless-N ทั้งหมด)

- ออพชั่นเสริมหล่อ Intel Turbo Memory ที่ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่องค์ประกอบที่บังคับของแพลทฟอร์มเซนทริโน แต่ก็น่าสนใจจริงๆ สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คในแพลทฟอร์มใหม่นี้ โดยอาศัยหลักการของ ReadyBoost กับ ReadyDrive ผสมผสานกัน

- สำหรับคนที่คาดหวัง คำว่า WiMAX หรือมาตรฐาน 802.16 ในแพลทฟอร์ม Santa Rosa นี้ คงต้อง "อดใจรอ" ไปถึงเจเนอเรชันถัดไปของ Centrino ครับ (ในโค้ดเนม Montevina) ที่จะมาถึงในช่วงปี 2008 แต่ก็อาจจะมีการพูดถึง WiMAX อีกครั้งในแพลทฟอร์มของ Santa Rosa ที่อาจจะตามออกมาเป็นออพชั่นเสริมหล่อเช่นกัน

- เช่นเดียวกับแพลทฟอร์ม Napa ที่อาจจะมีการออกแพลทฟอร์มมา "Refresh" หนึ่งครั้ง และแพลทฟอร์ม Santa Rosa Refresh นั้น จะออกมาเพื่อรองรับกับซีพียูในระดับ 45 นาโนมตรของอินเทล ภายใต้โค้ดเนม Penryn ในช่วงปลายปี 2007 นี้

- สำหรับ Intel Centrino Pro ในแพลทฟอร์มนี้ แท้จริงแล้วก็คือการเอาเทคโนโลยี vPro มาบวกเข้าไปกับ Centrino ที่วางขายทั่วไป และเกิดแบรนด์ใหม่ที่เรียกว่า Centrino Pro ก็เท่านั้นครับ อย่าสับสนว่ามันมีคุณสมบัติที่เหนือกว่ากันอย่างไรเมื่อมันปรากฏอยู่ในตลาด

Conclusion

การเปิดตัวแพลทฟอร์ม Intel Centrino Processor Technology ครั้งนี้ ถือเป็นอีกครั้ง ที่อินเทลตอกย้ำถึงความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ของแพลทฟอร์ม "เซนทริโน" ที่เกิดขึ้นมากว่า 4 ปีแล้ว และการปรับเปลี่ยนโฉมของเซนทริโน ทั้งการปรับเปลี่ยนชื่อเต็ม, การปรับเปลี่ยนโลโก้ ไปจนถึงการเสริมพลังให้แบรนด์เซนทริโนมีความแข็งแกร่งมากขึ้น ยังคงเป็นที่ถูกใจสำหรับผู้ใช้งานโน้ตบุ๊คทั่วโลกอยู่เช่นเดิม เนื่องจากทางอินเทลยังคงไม่ทิ้งคอนเซปท์ของความเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์สำหรับการพกพา แถมยังคงพัฒนาต่อยอดให้องค์ประกอบต่างๆ ของมันมีประสิทธิภาพที่สูงขึ้น และยังไม่ลืมที่จะมีออพชั่นเสริมที่น่าสนใจออกมาให้เลือกใช้งานกันมากกว่าเดิมด้วย

ในอนาคตอันใกล้นี้ เราคงจะได้เห็นโน้ตบุ๊คจากทุกค่าย ขยับปรับเปลี่ยนไปใช้แบรนด์ของ Intel Centrino Processor Technology ซึ่งสามารถสังเกตได้จากสเป็คที่ผมได้กล่างถึงไปในวันนี้ หรืออาจจะสังเกตง่ายๆ ไปยังโลโก้ของเซนทริโนที่มีการเปลี่ยนแปลงไปก็ได้ครับ และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่จะเป็นจุดเปลี่ยนของแพลทฟอร์มในเครื่องโน้ตบุ๊ค ที่ใครยังไม่รีบร้อนที่จะต้องซื้อ ผมแนะนำให้ "รอ" ดูแพลทฟอร์ม Santa Rosa นี้จะดีกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของประสิทธิภาพโดยรวมที่ดีขึ้นเหนือกว่าแพลทฟอร์ม Napa Refresh ในปัจจุบันทุกจุดค่ะ

Spacials Thanks...OverclockZone.CoM

Tech News : วงการ Notebook โกลาหล เรียกซ่อมชิพ Nvidia ครั้งใหญ่

วงการ Notebook โกลาหล เรียกซ่อมชิพ Nvidia ครั้งใหญ่



ชิพ Nvidia Notebook ทุกรุ่นที่ใช้





เมื่อต้นเดือนกรกฏาคม 2551 ที่ผ่านมี มีข่าวลือหนาหูเกื่ยวกับข้อผิดพลาดในการออกแบบ/ผลิตชิพของบริษัท Nvidia ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการชิพการ์ดจอ ซึ่งส่งผลต่อชิพเกือบทุกรุ่นที่ Nvdia ผลิต ไม่ว่าจะเห็นการจอ, ชิพเซ็ต, ชิพ Wireless ซึ่งข่าวลือครั้งนี้ส่งผลให้หุ้นของ Nvidia ตกเป็นประวัติการ



และจากบทความใน theinquirer ซึ่งส่งทีมงานศึกษาเรื่องราวข้อเท็จจริง และนำมาเผยแพร่สรุปได้ว่า ชิพทุกตัวที่ใช้กระบวนการผลิตแบบ ASICs ซึ่งอยู่ในรุ่นเดียวกับ G84 และ G86 (Geforce 8400 series และ Geforce 8600 Series) จะมีปัญหาในการทำงานของตัวชิพเกิดขึ้น เมื่อมีการใช้งานไปได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง

สาเหตุของปัญหามีที่มาจากการที่ตัวชิพผ่าน ความร้อน->ความเย็น->แล้วกลับมาร้อน (เรียกว่า Heat Cycle) จนมีจำนวนครั้ง Heat Cycle ถึงระดับหนึ่ง ดัวชิพนั้นจะเกิดปัญหาขึ้นภายในส่งผลให้การทำงานของตัวชิพผิดพลาดอย่างร้ายแรง รวมทั้งอาจจะทำให้ตัวชิพหยุดการทำงานไปเลยก็ได้

ในบทความยังรายงานอีกว่าปัญหาของชิพ Nvidia จะพบมากในชิพรุ่น GF8400M Series และ GF8600M Series ทั้งนี้เนื่องมาจากชิพทั้งสองตัวนิยมใช้งานกันอย่างแพร่หลายใน Notebook ซึ่งประเด็นสำคัญอยู่ที่การทำงานของ Notebook นั่นเอง เนื่องจาก Notebook มีลักษณะการออกแบบให้เน้นประหยัดพลังงาน ดังนั้นจึงมีระบบตัดการทำงานของพัดลมเมื่อความร้อนลดลง และพัดลมจะเริ่มทำงานอีกครั้งเมื่อมีความร้อนสูงขึ้น ตรงจุดนี้เองส่งผลให้ชิพการ์ดจอทั้ง 2 รุ่นดังกล่าว มีจำนวนครั้ง Heat Cycle มากกว่าชิพของ Nvidia รุ่นอื่นๆ ส่งผลให้มียอดของ Notebook ที่ใช้ชิพรุ่นดังกล่าวเสียเป็นจำนวนมาก

สถานะการณ์ในเบื้องต้นดูเหมือนจะเป็นเพียงแค่ข่าวลือ โดยมีเพียงแค่สื่อบางสื่อในสหรัฐอเมริกาที่ตีแผ่ข่าวเหล่านี้ แต่ในท้ายที่สุดแล้ว วันนี้ Dell และ HP ในอเมริกาได้ออกประกาศแจ้งลูกค้าถึงข้อผิดพลาดใน Notebook ทุกรุ่นที่ใช้ชิพ Nvidia ที่มีปัญหา พร้อมกันนั้นยังได้ออก Patch ซึ่งเป็น ROM ของ BIOS เพื่อบรรเทาความเสียหายจากกรณีของชิพ Nvidia มีปัญหาดังที่กล่าวมา

Patch ที่ทาง Dell และ HP ปล่อยออกมานั้นเป็นวิธีแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ โดย BIOS ตัวใหม่นี้จะสั่งงานให้พัดลมที่ระบายความร้อนของชิพ Nvidia ทำงานอยู่ตลอดเวลาขณะเปิดเครื่อง เพื่อช่วยลดจำนวน Heat Cycle ซึ่งจะยืดเวลา ต่ออายุชิพ Nvidia ออกไปได้ อย่างไรก็ตามยังไม่มีการประกาศใดๆจากผู้ผลิต Notebook ยี่ห้ออื่น รวมทั้งทาง Nvidia ยังคงปิดข่าวเงียบต่อไป




สำหรับผู้ใช้ Notebook ของ Dell สามารถดูรายละเอียดรุ่นที่มีปัญหา และดาวโหลด Patch ได้ที่นี่ http://direct2dell.com/







ผู้ใช้ Notebook ของ HP และ Compaq สามารถดูรายละเอียดรุ่นที่มีปัญหาได้ที่นี่
หากพบว่าเข้าข่ายอยู่ในรุ่นที่มีปัญหา สามารถดาวโหลด BIOS ได้ที่นี่

อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับนโยบายของ HP คลิกที่นี่

ลูกค้าของ HP และ Compaq ในสหรัฐอเมริก ทาง HP ได้ประกาศเรียกให้ผู้ใช้นำ Notebook รุ่นที่มีปัญหาเข้ามารับบริการที่ศูนย์บริการฟรี หรือจัดส่ง Notebook มายังศูนย์บริการฟรีโดยทาง HP จะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการรับส่งให้ และพร้อมกันนี้ทาง HP สหรัฐอเมริกา ยังได้ประกาศเพิ่มการรับประกันเป็นกรณีพิเศษจาก 1 ปี เป็น 2 ปีนับจากวันที่ซื้อ (หรือ 90 วันนับจากวันที่ส่งเครื่องมาซ่อมจนเสร็จตามโครงการนี้ ขึ้นอยู่กับว่าระยะใดจะถึงก่อน) เฉพาะ Notebook รุ่นที่มีปัญหาดังที่ HP ประกาศไว้

อนึ่ง ทางทีมงาน TechXcite ได้ติดต่อไปยัง Call Center ของ HP ในประเทศไทยเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม ได้รับคำตอบว่า ทางศูนย์ HP ในประเทศไทยยืนยันการเพิ่มการรับประกันตามประกาศจากทางเว็บ HP ด้านบน หากเครื่องของท่านใดตรวจสอบเครื่องแล้วมี รุ่นและ Product Number (P/N) ตรงกับรุ่นที่แจ้งไว้ในเว็บของ HP สหรัญอเมริกา สามารถรับบริการได้เช่นเดียวกันกับ HP สหรัฐอเมริกาที่ศูนย์ HP ประเทศไทยได้เลยครับ

PS. ขออนุญาตย้ำตรงนี้อีกครั้งนะครับ โครงการเพิ่มประกันข้างต้นเป็นโครงการของ HP สหรัฐอเมริกานะครับ ถ้าเครื่อง Notebook ของท่านมี รุ่นและ P/N ตรงกับที่ประกาศสามารถรับบริการได้ที่ศูนย์ HP ไทยครับ ส่วนเครื่องที่รุ่นหรือ P/N ไม่ตรงก็ไม่เข้าเงื่อนไขข้างต้นครับ ยังคงเป็นการรับประกันตามปกติของรุ่นๆนั้นๆครับ ข้อมูลทุกอย่างในข่าวนี้อ้างอิงจากเว็บไซต์ต่างประเทศ เว็บไซต์ Dell และ HP นะครับ ทาง TechXcite เป็นผู้ประมวลข้อมูลและเผยแพร่ครับ หากมีข้อมูลอื่นที่มีผิดไปจากในข่าว แต่ได้อ้างว่าเป็นข้อมูลโดยตรงจาก TechXcite เราขอปฏิเสธข้อมูลนั้นทุกกรณีครับ

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
แหล่งข่าวจาก
http://www.engadget.com และ http://www.theinquirer.net

นาโนเทคโนโลยีกับการพัฒนาเครื่องสำอาง






นาโนเทคโนโลยีกับการพัฒนาเครื่องสำอาง
โดย ดร.อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย
ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ

กระแสความตื่นตัวด้านนาโนเทคโนโลยีได้เข้ามาสู่ชีวิตประจำวันของเราในทุก ด้าน จะเห็นได้จากผลิตภัณฑ์ที่ได้ออกสู่ท้องตลาดหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์กีฬา เสื้อผ้าที่มีคุณสมบัติใหม่ๆ จอภาพแสดงผลบนอุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์ และคาดว่าจะเกิดผลิตภัณฑ์ใหม่ๆออกมาอย่างต่อเนื่อง ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของสินค้าที่ได้รับความสนใจอย่าง มาก เนื่องจากความสวยความงามเป็นเรื่องใกล้ตัวที่เราสามารถสัมผัสได้ ผิวพรรณที่อ่อนนุ่ม ไร้ริ้วรอยและดูอ่อนกว่าวัยเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ โดยเฉพาะเมื่อมีการนำเอานาโนเทคโนโลยีมาใช้เพื่อพัฒนาคุณภาพและประสิทธิภาพ ในการออกฤทธิ์ของเครื่องสำอางแล้ว ยิ่งทำให้กระแสความตื่นตัวในด้านนาโน เทคโนโลยีเป็นที่ต้องการและสามารถสร้างจุดขายได้เป็นอย่างดี

เครื่องสำอางที่มีการนำนาโนเทคโนโลยีมาใช้สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ
1. การสังเคราะห์อนุภาคนาโน เพื่อใช้เป็นสารกันแดดในกลุ่มโลหะ
ออกไซด์ เช่น ซิงค์ออกไซด์(ZnO) ไททาเนียมไดออกไซด์ (TiO2) โดยทั่วไปสารเหล่านี้เมื่อทาบนผิวสามารถดูดกลืนและสะท้อนแสงได้เป็นอย่างดี ยอมให้แสงขาวที่ตามองเห็นทะลุผ่านได้ แต่ไม่ยอมให้รังสี UVA และ UVB ผ่านได้ ดังนั้นเมื่อสามารถสังเคราะห์สารดังกล่าวให้มีขนาดที่เล็กลงในระดับนาโนเมตร ได้จะทำให้มีพื้นที่ผิวที่มากขึ้น และด้วยอนุภาคที่เล็กละเอียดเมื่อทาบนผิวจะทำให้ไม่เกิดเป็นคราบขาว

2. การเตรียมในรูปแบบของของเหลวกระจายตัวที่มีสารออกฤทธิ์เก็บกักภายในถุงหุ้ม (nanodispersed
system) ซึ่งสามารถทำได้ในหลายรูปแบบ เช่นไลโปโซม (liposomes) อิมัลชัน (nanoemulsions) อนุภาคนาโนชนิดไขมันแข็ง (solid lipid nanoparticles) ซึ่งการเตรียมสารออกฤทธิ์ในรูปแบบดังกล่าวนี้จะช่วยในด้านการเพิ่มความคงตัว ของสารออกฤทธิ์จากการสัมผัสแสงและออกซิเจน สามารถควบคุมการปลดปล่อยได้ตามต้องการ รวมทั้งอาจมีผลในการซึมผ่านผิวหนังได้ดีขึ้น ซึ่งขึ้นอยู่กับขนาดของอนุภาค ที่เตรียมได้

ไลโปโซม
เป็นรูปแบบหนึ่งที่ได้มีการนำมาใช้วิจัยและพัฒนามาเป็นเวลานานเพื่อใช้เป็น ระบบนำส่งยาทางการแพทย์ โดยได้มีการค้นพบครั้งแรกโดย Dr. Alec Bangham ในปี 1965 ใช้เป็นระบบนำส่งสารออกฤทธิ์ในรูปแบบถุง (vesicular structures) ที่มีขนาดอนุภาคที่เล็กในระดับนาโนเมตรจนถึงไมโครเมตร ซึ่งขนาดของถุงไขมันที่ได้จะขึ้นกับชนิดของไลโปโซมและวิธีการเตรียม ผนังของไลโปโซมจะเป็นไขมันชนิดฟอสฟอไลปิดซึ่งเป็นไขมันชนิดเดียวกันกับไขมัน ที่ผิวหนังของมนุษย์ จากสูตรโครงสร้างของไขมันชนิดนี้ประกอบด้วยสองส่วน คือ ส่วนที่ชอบน้ำ(hydrophillic) เป็นหัว และส่วนที่ไม่ชอบน้ำ (lipophillic)เป็นหาง จากโครงสร้างทำให้ไลโปโซมเกิดการจัดเรียงตัวของผนังเป็นสองชั้น (bilayers) อย่างชัดเจน สามารถเก็บกักสารสำคัญได้หลายรูปแบบ โดยการเก็บกักสารที่ละลายน้ำได้น้อยไว้ในส่วนผนัง และสารละลายน้ำได้ละลายอยู่ด้านใน
กลไกในการนำส่งยาเข้าสู่ผิวหนังของไลโปโซมมีหลายกลไก ได้แก่
(1) ไลโปโซมดูดซับบริเวณผิวส่วนนอกสุด แล้วเกิดการแตก และเพิ่มแรงส่งให้ยาเข้าสู่ผิวหนังได้ดีขึ้น และ
(2) ไลโปโซมซึมเข้าสู่ผิวหนังชั้นนอกสุดและหลอมรวมกับส่วนของไขมันในชั้นนี้ และเกิดการปลดปล่อยสาร โดยทำหน้าที่เป็นเหมือนตัวเก็บกักยาให้ค่อยปลดปล่อยออกมา ทำให้เกิดประสิทธิภาพที่ยาวนานขึ้น
อย่างไรก็ดีไลโปโซมที่เตรียมได้มักจะประสบปัญหาทางด้านความไม่คงตัวทั้งทาง กายภาพและทางเคมี ตัวอย่าง เช่น ทางกายภาพจะเกิดการรวมตัวกันของไลโปโซมแต่ละถุงทำให้ได้ขนาดที่ใหญ่ขึ้น หรือเกิดการแตกออกทำให้สารที่ต้องการเก็บกักไว้ภายในถุงหลุดออกมา ทางด้านเคมีอาจเกิดปฏิกริยา ไฮโดรไลซิสหรือออกซิเดชันของไขมันที่ถุงได้
นอกจากไลโปโซมแล้วยังมีอีกรูปแบบของระบบนำส่งที่มีลักษณะเป็นถุงคล้ายกันคือ
-Niosome ได้จากการใช้สารลดแรงตึงผิวชนิดไม่มีประจุ (non-ionic surfactant) แทนการใช้ฟอสโฟไลปิดโดยการเตรียมจาก polyoxyethylene alkyl ethers ทำให้ niosomes มีราคาถูกลง และ มีความคงตัวที่ดีกว่าไลโปโซม
-Transferosome เป็นถุงไลโปโซมที่มีความยืดหยุ่นสูงซึ่งได้จากการใช้ไขมันชนิดฟอสฟอไลปิด ร่วมกับสารลดแรงตึงผิว เช่น sodium cholate หรือ deoxycholate โดยเชื่อว่าอนุภาคชนิดนี้สามารถบีบตัวผ่านช่องว่างของเซลล์ในชั้นผิวหนัง ด้านบนได้
-Ethasomes คือไลโปโซมที่มีปริมาณเอทานอลในปริมาณสูงเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการ ละลายและบรรจุสารได้หลายชนิดและช่วยให้ถุงมีความนิ่มและสามารถบีบตัวผ่าน เข้าสู่ผิวหนังได้ถึงผิวหนังชั้นในหรือเข้าสู่กระแสเลือดได้

อนุภาคนาโนชนิดไขมันแข็ง (solid lipid nanoparticles)
เป็นระบบนำส่งสารที่มีขนาดอนุภาคอยู่ในช่วง 50 ถึง 1,000 นาโนเมตร สามารถเตรียมได้โดยใช้หลักการเดียวกันกับการเตรียมอิมัลชั่นชนิดน้ำมันในน้ำ โดยใช้สารห่อหุ้มประเภทไขมัน เช่น ไตรกลีเซอไรด์ และแวกซ์ เป็นต้น ซึ่งสารเหล่านี้เข้ากันได้กับร่างกาย เมื่อเตรียมเสร็จและปล่อยให้เย็นตัวลงที่อุณหภูมิห้อง สารห่อหุ้มจะเปลี่ยนสถานะเป็นของแข็งและหุ้มสารสำคัญเอาไว้ข้างใน ลักษณะโครงสร้างของอนุภาคของอนุภาคนาโนชนิดไขมันแข็งจะคล้ายกับนาโนอิมัล ชั่น (nanoemulsion) คือชั้นที่ห่อหุ้มนั้นจะเรียงตัวกันชั้นเดียว (monolayer) แต่ ณ อุณหภูมิห้องและอุณหภูมิร่างกาย อนุภาคนาโนชนิดไขมันแข็งจะอยู่ในสถานะของแข็ง ส่วนนาโนอิมัลชั่นจะอยู่ในสถานะของเหลว ดังนั้น จึงมีผลต่อการปลดปล่อยสารสำคัญ อนุภาคนาโนชนิดไขมันแข็งจะสามารถควบคุมการปลดปล่อยสารสำคัญอยู่ในสารห่อหุ้ม ที่เป็นของแข็ง ดังนั้นสารสำคัญจึงค่อยๆ ถูกปลดปล่อยออกมาและสามารถลดการระคายเคืองของผิวหนังจากสารสำคัญบางชนิดได้ สามารถเตรียมได้ด้วยการเตรียมสารสำคัญและไขมันในรูปแบบของอิมัลชั่นก่อนแล้ว ทำการลดขนาดด้วยเครื่อง high pressure homogenizer
ข้อดีของรูปแบบอนุภาคนาโนชนิดนี้ คือ สามารถควบคุมการปลดปล่อยสารสำคัญ และช่วยเพิ่มระยะเวลาในการออกฤทธิ์ เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว (occlusion effect) เพิ่มความคงตัวของสารสำคัญและผลิตภัณฑ์ เพิ่มการดูดซึมสารลงในชั้นที่ลึกยิ่งขึ้น สามารถนำวิธีการไปผลิตในระดับอุตสาหกรรมได้ง่าย การนำมาใช้ในทางเครื่องสำอางสามารถทำได้ในหลายรูปแบบ คือ ใช้ได้ทันทีในรูปแบบโลชั่น หรือบรรจุลงในเนื้อครีม หรือทำให้อยู่ในรูปแบบเจล โดยการเติมสารเพิ่มความหนืด ปัจจุบันได้มีการจดสิทธิบัตรการเตรียมการใช้ high pressure homogenizer โดยบริษัท SkyePharma ประเทศอังกฤษ ส่วนการเตรียมด้วยเทคนิคไมโครอิมัลชัน ได้จดสิทธิบัตรโดยบริษัท Vectorpharma ประเทศอิตาลี

นาโนอิมัลชัน (nanoemulsion)
เป็นระบบในรูปแบบของเหลวใสที่มีความคงตัวทางเทอร์โมไดนามิกส์สูง มีชื่อเรียกหลายชื่อเช่น oil-in-water emulsions หรือ submicron emulsion หรือ miniemulsion มีลักษณะของอนุภาคที่เรียกว่าไมเซลล์ (micelle) ที่มีขนาดประมาณ 10 ถึง 140 นาโนเมตร โดยมีส่วนประกอบหลัก คือ น้ำมัน น้ำและสารลดแรงตึงผิว โดยสามารถคงรูปอยู่ได้จากผิวฟิล์มของสารลดแรงตึงผิว สามารถเตรียมได้จากสารลดแรงตึงผิวหลายชนิดแต่ต้องคำนึงถึงความเป็นพิษของสาร เช่นกัน แต่โดยทั่วไปแล้วจำเป็นต้องใช้สารลดแรงตึงผิวในปริมาณสูงเพื่อเพิ่มความคง ตัวของของเหลว

อนุภาคนาโนที่ทำจากพอลิเมอร์ (polymeric nanoparticles)
เป็น รูปแบบที่มีการนำมาใช้ในทางการแพทย์มาก สามารถเตรียมได้หลายวิธี เช่น solvent evaporation, polymerization ตัวอย่างของพอลิเมอร์ที่มีการนำมาใช้ เช่น PLGA หรือ poly(lactic-co-glycolic acid) เนื่องจากเป็นสารที่ได้รับการยอมรับจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาว่า สามารถย่อยสลายได้ในร่างกาย มีความปลอดภัยสูง รูปแบบที่มีการนำมาใช้เก็บกักสารในกลุ่มวิตามินซีได้เป็นผลิตภัณฑ์รูปแบบผง อนุภาคนาโนชนิดแห้งและเมื่อต้องการใช้จะทำการผสมกับครีมหรือเจลก่อนการใช้ ตัวอย่างเช่น Nano LeVic®"ผลิตโดย Hosokawa Powder Technology Research Institute (HPTRI) ร่วมกับบริษัท Powder Green® ประเทศญี่ปุ่น

เครื่องสำอางนาโนที่มีวางขายในเชิงพาณิชย์
- สำหรับการนำมาใช้ในทางเครื่องสำอางเริ่มจากการผลิตไลโปโซมเจล ของบริษัท Christian Dior ในปี ค.ศ. 1986 ในชื่อ Capture® และตามด้วยผลิตภัณฑ์ในชื่อ Plentitude® ของ บริษัท L’Oreal ได้ใช้เทคนิคของ Niosomes ในการนำส่งสารเพื่อเพิ่มความชุ่มชื่นแก่ผิว ในปัจจุบันได้มีการใช้เทคนิคการเตรียมอนุภาคนาโนตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น เพื่อการบรรจุและนำส่งสาร โดยผสมอนุภาคเหล่านี้กับเนื้อของเครื่องสำอาง เช่น
- ครีมบำรุงผิวที่มีอนุภาคบรรจุสารอุ้มความชื้น (hemectants) สารทำให้ขาว (whitening agent) สารชะลอความแก่ (anti-aging) เอนไซม์ หรือวิตามินต่างๆ
- ครีมกันแดดที่มีสารกันแดด (sunscreen) หรือสารอุ้มความชื้น
- ครีมรองพิ้นที่มีสารปรับสีผิว หรือสารทำให้ผิวสีเข้ม (tanning agents)
- ลิปสติกที่มีอนุภาคนาโนบรรจุน้ำมันเพื่อเพิ่มความชุ่มชื่นที่สามารถออกฤทธิ์ได้เมื่ออนุภาคแตกออก
- แป้งแข็งและอายแชโดว์ที่มีอนุภาคบรรจุสารสี (pigment) และหัวน้ำหอม

นอกจากนี้การใช้อนุภาคนาโนที่ไม่ได้มีการบรรจุสารสำคัญใดๆ เช่น ไลโปโซมแบบเปล่าเพื่อเป็นส่วนผสมในครีมบำรุงผิวสามารถช่วยเพิ่มความชุ่มชื่น แก่ผิวได้เช่นกัน
guest

โพสต์: 111
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ 14 ก.พ. 2009 11:19 pm