วันพุธที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เจาะลึกเทคโนโลยีสำหรับคนรักโน๊ตบุ๊ค

Intel Centrino Processor Technologyเจาะลึกเทคโนโลยีสำหรับคนรักโน๊ตบุ๊ค



หลายคนอาจจะยังสงสัย และยังสับสนถึงแบรนด์ "เซนทริโน" อยู่นะครับ ซึ่งวันนี้ผมจะมาอัพเดทถึงเซนทริโนในเจเนอเรชันใหม่ล่าสุด (จัดว่าเป็นเจเนอเรชันที่ 4 ของเซนทริโนแล้ว) ที่ทางอินเทลเพิ่งจะทำการเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2550 ที่ผ่านมานี้เอง โดยมีความเปลี่ยนแปลงต่างๆ เกิดขึ้นมากมายพอสมควรกับแพลทฟอร์มเซนทริโน ภายใต้รหัสพัฒนา "Santa Rosa" ที่ถือว่าเป็นแพลทฟอร์มของเซนทริโนในปี 2007 และเป็นเรื่องราวที่ผมจะมาเจาะลึกให้ฟังกันในวันนี้ครับ

ขอขอบคุณ คุณ Spin9 แห่ง Overclockzoneณ ที่นี้ด้วยคับสำหรับข้อมูล

Santa Rosa - The 4th Generation of Intel Centrino
Introducing Intel Centrino Processor Technology



คงเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้ว ว่าอินเทล ผู้นำทางด้านเทคโนโลยีสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ ได้เปิดตัวแบรนด์ที่เรียกว่า Intel Centrino Mobile Technology มาเพื่อเป็นคอนเซปท์ของเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค และประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ชนิดที่เรียกได้ว่า ใครจะซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คมาใช้งานซักเครื่อง จะต้องเรียกหาสัญลักษณ์ "เซนทริโน" บนเครื่องกันเลยทีเดียว และ เดินทางมาถึงปี 2007 นี้ จัดว่าเป็นปีที่ 4 ของเซนทริโนแล้ว (เปิดตัวครั้งแรกเมื่อเดือนมีนาคม 2003) ซึ่งที่ผ่านมา ก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆ เกิดขึ้นครั้งหนึ่ง เมื่อช่วงต้นปี 2006 ที่ทางอินเทลได้ทำการ "เปลี่ยนโลโก้" ยกแผงทั้งองค์กร ทำให้สัญลักษณ์ของเซนทริโนได้เปลี่ยนแปลงไปด้วย (รวมไปถึงการแนะนำเทคโนโลยีดูอัล-คอร์สำหรับแพลทฟอร์มเซนทริโนเป็นครั้งแรก) แต่ก็ยังคงมีหน้าตาของ "ผีเสื้อ" สีน้ำเงิน-แดง ปรากฏอยู่ให้เห็นเช่นเดิมอย่างที่ปรากฏกันอยู่ในเครื่องโน้ตบุ๊คหลากหลายรุ่นในท้องตลาดปัจจุบัน ... แต่เมื่อมาถึงเจเนอเรชันล่าสุด หรือเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2007 ที่ผ่านมานั้น ทางอินเทลได้ทำการ "เปลี่ยนชื่อเต็ม" ของเทคโนโลยีเซนทริโน จาก Intel Centrino Mobile Technology มาเป็น Intel Centrino Processor Technology รวมไปถึงการแนะนำ "Intel Centrino Pro" เป็นครั้งแรก และยังทำการ "เปลี่ยนโลโก้" อีกครั้ง โดยการตัดสัญลักษณ์ "ผีเสื้อ" ออกไป และใช้สีแดงในการเน้นคำว่า "Centrino" ให้มีขนาดที่ใหญ่ขึ้น ตามสัญลักษณ์ในภาพที่ปรากฏอยู่ด้านบนครับ

อย่างไรก็ตาม ในเจเนอเรชันล่าสุดของ เซนทริโน ที่อินเทลเพิ่งทำการเปิดตัวออกมานี้ มันก็ยังคงคอนเซปท์ของ เซนทริโน เอาไว้อย่างครบถ้วน นั่นก็คือการมุ่งเน้นให้เครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค มีความสัมพันธ์กันระหว่าง Performance, Battery Life, Thinner and Lighter และความสามารถทางด้าน Wireless กันอย่างสมดุลย์ ซึ่งเป็นเรื่องที่อินเทลวาดไว้ตั้งแต่เปิดตัวแบรนด์เซนทริโนครั้งแรกในปี 2003 ครับ ... รวมไปถึงการที่มันจะต้องมีองค์ประกอบสามอย่างรวมกัน คือ ซีพียู, ชิปเซ็ท และ ชิปควบคุมไวร์เลสแลน ตามสเป็คที่อินเทลระบุไว้ โดยในแพลทฟอร์มของ Intel Centrino Processor Technology หรือแพลทฟอร์ม Santa Rosa นั้น ทางอินเทลได้ระบุเอาไว้ตามนี้ ...

- Intel® Core™ 2 Duo Processor
- Mobile® 965 Express Chipset Family
- Intel® Next-Gen Wireless-N or Intel@ PRO/Wireless 3945ABG Network Connection

ประการแรก คือ ซีพียูตระกูล Intel Core 2 Duo ซึ่งถือว่าเป็นซีพียูที่มีประสิทธิภาพสูง และเป็นซีพียูชนิดดูอัล-คอร์ (ทำให้แพลทฟอร์ม Santa Rosa ทั้งหมด ณ วันเปิดตัว เป็น Dual-Core แต่ก็มีข่าวลือว่า เราอาจะได้เห็น Intel Core 2 Solo ตามมาภายในปีนี้ครับ), ประการถัดมา คือในส่วนของชิปเซ็ท ที่ได้มีการขยับมาใช้ชิปเซ็ทในตระกูล 965 ที่มีการรองรับในส่วนของอุปกรณ์เชื่อมต่อรอบด้านที่ดีขึ้น รวมถึงมีความสามารถทางด้านกราฟฟิกของ Intel GMA ที่สูงขึ้นกว่าตระกูล 945 ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน (แพลทฟอร์ม Napa) และประการสุดท้าย ที่ดูเหมือนจะเป็นพระเอกของแพลทฟอร์ม Santa Rosa ก็คือชิปไวร์เลสแลน ที่อินเทลรับรองตั้งแต่ชิปไวร์เลสแลนรุ่นที่ใช้กันอยู่เดิม (3945ABG) หรือถ้าโน้ตบุ๊คบางรุ่นจะขยับไปใช้ชิปไวร์เลสรุ่นใหม่อย่าง Intel Wireless WiFi Link 4965AGN ที่รองรับ "Wireless-N" ก็ไม่ว่ากัน (แต่ดูเหมือน Wireless-N ในเมืองไทย จะยังไม่ค่อยเห็นหนทางอันสดใสนัก ซึ่งต้องรอทาง กทช. อนุมัติช่องสัญญาณกันต่อไป)

Mobile Intel Core 2 Duo Processor
with Up to 4MB L2 Cache and 800 MHz FSB !!

องค์ประกอบแรก ที่เราจะพูดถึงกันในวันนี้ ก็คือในส่วนของซีพียูครับ โดยแพลทฟอร์ม Santa Rosa หรือ Intel Centrino Processor Technology นี้ มีการขยับปรับเปลี่ยนไปใช้ซีพียูที่มีสเป็คสูงขึ้น ซึ่งหลักๆ แล้ว ก็คือในเรื่องของ Front Side Bus (FSB) จากเดิม 667MHz มาเป็น 800MHz แต่มันยังคงเป็นซีพียูในตระกูล Intel Core 2 Duo ในโค้ดเนม Merom เหมือนเดิม ... อย่างไรก็ตาม ซีพียู Core 2 Duo ที่มี FSB 800MHz นี้ ไม่สามารถนำไปใช้งานร่วมกับโน้ตบุ๊คที่เป็นชิปเซ็ทเก่าได้ ทางอินเทลจึงจำเป็นต้องทำการ "เปลี่ยนซ็อกเกต" ของซีพียู จาก ซ็อกเกต M ไปเป็น ซ็อกเกต P ครับ (มี 478 พินเท่าเดิม)




ถึงแม้ว่า การเปลี่ยนซ็อกเกต ของซีพียูของโน้ตบุ๊คนี้ จะไม่ได้ส่งผลโดยตรงต่อผู้ใช้งาน เนื่องจากเครื่องโน้ตบุ๊คที่วางขายกัน ก็เป็นเครื่องที่ประกอบสำเร็จมาจากโรงงานอยู่แล้ว ที่ต่างจากเครื่องเดสก์ท็อปที่เราสามารถซื้อแยกชิ้นมาประกอบกันเอง และต้องพิจารณาถึงความเข้ากันได้ในหลายๆ ส่วน แต่ข้อมูลตรงนี้ ก็เป็นเกร็ดน่ารู้และเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ยากครับ

อย่างที่บอกไปว่า การเปลี่ยนแปลงหลักๆ ในส่วนของซีพียูนี้ คือการขยับไปใช้ซีพียูที่มี FSB สูงขึ้นกว่าเดิมเท่านั้น ซึ่งในส่วนของฟีเจอร์ต่างๆ รวมไปถึงชุดคำสั่งของตัวซีพียู ยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ มันยังคงเป็นซีพียู Mobile Intel Core 2 Duo เช่นเดิม แต่การขยับ FSB ไปเป็น 800MHz นั้น ย่อมจะส่งผลต่อประสิทธิภาพโดยรวมของระบบอย่างปฏิเสธไม่ได้ครับ ในเบื้องต้น ทางอินเทลได้ปล่อยซีพียู Merom ในรุ่น FSB 800MHz (หรือในซ็อกเกต P) ออกมาเพียง 4 โมเดลเท่านั้น คือโมเดล T7700, T7500, T7300 และ T7100 ตามตารางข้อมูลที่ผมได้สรุปมาให้ชมด้านล่างนี้


ณ วันที่ทำการเปิดตัวแพลทฟอร์ม ต้องเรียกว่ามีซีพียูตัวเลือกสำหรับแพลทฟอร์ม Santa Rosa ไม่มากนักครับ แต่ในอนาคต ทางอินเทลจะทยอยปล่อยซีพียูในซ็อกเกต P ออกมาเรื่อยๆ รวมไปถึงการวางแผนถึงซีพียู Extreme Edition สำหรับโน้ตบุ๊คด้วย (ใช่แล้วครับ เรามีสิทธิ์จะได้เห็น Core 2 Extreme สำหรับโน้ตบุ๊ค ในแพลทฟอร์ม Santa Rosa นี้แหละ) และแน่นอนว่า จะต้องมีซีพียูในรุ่นประหยัดพลังงาน อย่าง LV (Low Voltage) และ ULV (Ultra Low Voltage) ตามออกมาด้วย

อีกหนึ่งข้อสังเกตคือ ทางอินเทลยังไม่มีการพูดถึงซีพียูที่เป็นซิงเกิล-คอร์ ในแพลทฟอร์มของ Santa Rosa ครับ นั่นคือ องค์ประกอบที่จะสรุปออกมาเป็นแพลทฟอร์มที่ชื่อ Intel Centrino Processor Technology ณ วันที่เปิดตัวนั้น จำเป็นที่จะต้องมีประสิทธิภาพในการทำงานของซีพียูในระดับ Dual-Core ขึ้นไปเท่านั้น... ซึ่งนับว่าเป็นผลดีต่อการประมวลผลโดยรวมของเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คอย่างแท้จริง แต่อย่างที่เรียนไปแล้วว่า เรามีโอกาสจะได้เห็นแบรนด์ Intel Core 2 Solo ที่จะตามออกมา แต่ยังไม่มีความชัดเจนว่า Core 2 Solo จะถูกนับเป็นแพลทฟอร์ม Intel Centrino Processor Technology หรือไม่ เพราะเท่าที่ผมทราบมา Core 2 Solo จะมาในเวอร์ชัน ULV ประหยัดพลังงานพิเศษเท่านั้น

Intel Dynamic Acceleration

อีกหนึ่งฟีเจอร์ใหม่ที่มากับซีพียู Intel Core 2 Duo ในแพลทฟอร์ม Santa Rosa นี้ มีชื่อว่า Intel Dynamic Acceleration ครับ ซึ่งทางอินเทลได้พัฒนาฟีเจอร์นี้ออกมาเพื่อรองรับกับแอพพลิเคชันบางตัว ที่ไม่มีการรองรับความสามารถของ Dual-Core อย่างเช่นเกมส์บางเกมส์ หรือ การเรนเดอร์ผ่านโปรแกรมบางตัว เป็นต้น

การทำงานของ Intel Dynamic Acceleration นี้ มันจะทำการ "แปรสภาพ" จากซีพียู Dual-Core มาเหลือเพียง Single-Core และเร่งความเร็วสัญญาณนาฬิกาให้สูงขึ้น (ด้วยตัวของมันเอง และเรียกสถานะนี้ว่า Turbo Mode) ซึ่งสามารถดูตัวอย่างได้จากตารางทางด้านซ้ายมือนี้ครับ เช่น ซีพียู Dual-Core ความเร็ว 2.4GHz อาจแปรสภาพมาเป็น Single-Core ความเร็ว 2.6GHz ได้ เมื่อแอพพลิเคชันบางตัวถูกเรียกขึ้นมาใช้งาน ในขณะที่ค่า TDP หรือพลังงานความร้อนที่ปล่อยออกมาจากตัวซีพียู ยังคงเท่าเดิม (เนื่องจากมีการ "ปิด" คอร์ที่ไม่ได้ใช้ไป) ... ทั้งหมดนี้ จะถูกทำงานโดยอัตโนมัติ ผ่านการควบคุมของแพลทฟอร์ม ชิปเซ็ท และไดรเวอร์ครับ เป็นฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจ และ ดูเหมือนจะเห็นผลในการใช้งานจริงได้ดีทีเดียว

Mobile Intel® 965 Express Chipset Family

องค์ประกอบถัดมาที่เป็นตัวขับเคลื่อนหลัก ก็คือในส่วนของชิปเซ็ทครับ ที่ในแพลทฟอร์ม Intel Centrino Processor Technology นี้ มีการขยับรุ่นของชิปเซ็ทจากตระกูล 945 มาเป็นตระกูล 965 ที่มีความสามารถในการรองรับอุปกรณ์เชื่อมต่อต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นการรองรับซีพียู Core 2 Duo รุ่นที่มี FSB 800MHz, รองรับ SATA 3.0Gb/s เต็มรูปแบบ, รองรับระบบปฏิบัติการวินโดวส์ วิสต้า, รองรับ USB 2.0 ในแบนด์วิธ และจำนวนที่มากขึ้น, มีชิปกราฟฟิกติดตัวที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น (สำหรับชิปเซ็ท GM965), รองรับ Intel Active Management Technology ทั้งแบบมีสาย และ แบบไร้สาย (เฉพาะแพลทฟอร์ม Intel Centrino Pro) และอื่นๆ ที่เป็นพื้นฐานของการมาถึงของชิปเซ็ทใหม่ๆ ครับ


Mobile Intel® Graphics Media Accelerator X3100

สิ่งที่ตามมาแน่นอนกับชิปเซ็ทใหม่ ก็คือความสามารถทางด้านกราฟฟิกครับ โดยชิปเซ็ทอินเทลในรุ่นที่มีกราฟฟิกอินทิเกรตติดตัวมาด้วย สำหรับชิปเซ็ทในตระกูล Mobile Intel 965 Express Chipset ก็คือรุ่น Intel GM965 ที่จะมีกราฟฟิกชิปของอินเทลฝังติดตัวมา และก็เป็นกราฟฟิกชิปในชื่อรุ่นใหม่ อย่าง Intel Graphics Media Accelerator X3100 (Intel GMA X3100) ที่มีการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพรวมถึงฟีเจอร์ต่างๆ ที่ดีกว่า Intel GMA 950 (ที่ฝังมากับชิปเซ็ท 945GM เดิม) ค่อนข้างมากทีเดียว


Intel Graphics Media Accelerator X3100 มาพร้อมกับความเร็วกราฟฟิกที่สูงถึง 500MHz รองรับเทคโนโลยีการแชร์และจัดการหน่วยความจำ Intel Dynamic Video Memory Technology (DVMT) ในเวอร์ชันที่ 4, รองรับ DirectX เวอร์ชัน 9 พร้อม OpenGL เวอร์ชัน 1.5 ซึ่งสามารถรันระบบปฏิบัติการวินโวส์ วิสต้า ในโหมด Aero ได้เลยจากกราฟฟิกออนชิปตัวนี้ครับ นอกจากนี้ มันยังมีระบบการจัดการทางด้านพลังงาน เพื่อเพิ่มระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ต่อการชาร์จให้สูงขึ้นกว่าเดิมด้วย

ในส่วนของเทคโนโลยีใหม่ ที่ทางอินเทลได้เพิ่มเข้าใน GMA X3100 ตัวนี้ ก็คือเทคโนโลยีที่มีชื่อว่า Intel Clear Video Technology ที่อินเทลเคลมว่ามันสามารถแสดงผลได้คมชัด และมีความแม่นยำกว่าเดิม และผ่านการทดสอบ HQV (Hollywood Quality Video) Benchmark ได้ผลคะแนนที่สูงขึ้นกว่า GMA950 ตัวเดิมถึง 3 เท่าตัว ในขณะที่ประสิทธิภาพของมัน ก็สูงขึ้นกว่าเดิมด้วย โดยมันสามารถทำการ benchmark โปรแกรม 3DMark06 ได้ผลคะแนนสูงกว่าเดิมถึง 2 เท่าตัวครับ นี่ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของชิปกราฟฟิกที่อินทิเกรตมากับเครื่องโน้ตบุ๊คอีกครั้ง แบบที่ไม่ต้องง้อชิปกราฟฟิกแบบภายนอก ที่จะเป็นการเพิ่มค่าใช้จ่ายให้กับโน้ตบุ๊ค รวมไปถึงเพิ่มอัตราการใช้พลังงานด้วย

Mobile Intel® GM965 Express, PM965 Express Chipset

ในเบื้องต้น ณ วันที่ทำการเปิดตัวแพลทฟอร์ม Santa Rosa นั้น ทางอินเทลได้ส่งชิปเซ็ทในตระกูล Mobile Intel 965 Express ออกมาเพียง 2 รุ่นเท่านั้นครับ ก็คือในรุ่น PM965 ที่ไม่มีกราฟฟิกอินทิเกรตมา (ต้องอาศัยชิปกราฟฟิกภายนอก) กับรุ่น GM965 ที่มาพร้อมกับกราฟฟิก GMA X3100 ในขณะที่มันมีฟีเจอร์อย่างอื่นเหมือนกันทุกประการ และอย่างที่บอกไปแล้วว่า มันมาพร้อมกับซ็อกเกตใหม่ ที่รองรับกับซีพียู Mobile Intel Core 2 Duo ในรุ่นที่มี FSB 800 MHz หรือซ็อกเกต P เท่านั้นครับ (จึงทำให้มันมีซีพียูมารองรับเพียง 4 โมเดลในปัจจุบัน)

และนี่คือตารางเปรียบเทียบคุณสมบัติทางเทคนิคของโมบายล์ชิปเซ็ทในตระกูล 965 (แพลทฟอร์ม Santa Rosa) เทียบกับโมบายล์ชิปเซ็ทในตระกูล 945 (ของแพลทฟอร์ม Napa) ที่ผมสรุปมาให้ชมกันครับ


ข้อมูลในตารางนี้ คือข้อมูล ณ วันที่มีการเปิดตัวแพลทฟอร์มครับ ซึ่งอาจจะมีการเพิ่มเติม เปลี่ยนแปลงสเป็คบางส่วนต่อไปในอนาคต เช่นการรองรับซีพียูในโมเดลที่หลากหลายมากขึ้น รวมไปถึงชิปเซ็ทรุ่นย่อยๆ ที่อาจจะออกมาเป็นรุ่นประหยัด อย่างที่เคยมีมาแล้วในแพลทฟอร์มเซนทริโนรุ่นที่ผ่านๆ มา

Intel® Wireless WiFi Link 4965AGN

องค์ประกอบสุดท้ายของการเป็น "เซนทริโน" ของแพลทฟอร์ม Santa Rosa ก็คือในส่วนของชิปควบคุมการทำงานของไวร์เลส-แลนครับ ซึ่งการเปิดตัวแพลทฟอร์ม Santa Rosa นี้ ทางอินเทลได้ถือโอกาสในการเปิดตัวชิปไวร์เลส-แลนรุ่นใหม่ไปพร้อมกันเลยด้วย ซึ่งมันมาพร้อมกับชื่อรุ่น Intel Wireless WiFi Link 4965AGN (ชื่อยาวเชียว) ซึ่งมีสเป็คบอกในตัวของมันเองแล้วว่า มีการรองรับเทคโนโลยี Wireless-N หรือ มาตรฐาน 802.11n ที่จะถูกประกาศใช้งานอย่างเป็นทางการในปี 2008 แต่ปัจจุบัน ก็เริ่มมีผู้ผลิตอุปกรณ์เน็ตเวิร์กออกมารองรับให้เห็นกันบ้างแล้ว รวมไปถึงมีการใช้งานได้จริงในบางประเทศแล้วด้วย


มาตรฐาน Wireless-N หรือ 802.11n ที่เป็นตัวหลักที่เพิ่มเข้ามาในชิปควบคุมไวร์เลส-แลนรุ่นล่าสุดของอินเทลนี้ ได้อาศัยหลักการของ MIMO หรือ Multiple-Input Multiple-Output เพื่อเพิ่มช่องสัญญาณและเพิ่มช่องทางในการ multiplex ข้อมูลให้มีความเร็วที่สูงขึ้น รวมไปถึงให้มีกำลังสัญญาณที่แรงขึ้น (มีการใช้ตัวรับ-ส่งหลายตัว และเสาอากศหลายตัวในอุปกรณ์ตัวเดียวกัน) มีสเป็คที่น่าสนใจทีเดียวครับ นั่นก็คือ มันจะมีอัตราการรับส่งข้อมูลสูงสุดตามทฤษฎีอยู่ที่ 248 Mbit/s ซึ่งสูงกว่ามาตรฐาน 802.11g ถึงเกือบ 5 เท่าตัว (802.11g มีอัตราการรับส่งสูงสุดที่ 54 Mbit/s) และมีความสามารถในการกระจายสัญญาณได้สูงถึง 70 เมตร (ในอาคาร) ที่สูงกว่ามาตรฐาน 802.11g ถึงสองเท่าครับ


อย่างไรก็ตาม การที่จะประกอบมาเป็นแพลทฟอร์ม Intel Centrino Processor Technology นั้น ทางอินเทลไม่ได้บังคับให้ใช้ชิปไวร์เลส-แลนในรุ่นใหม่เพียงรุ่นเดียว เพราะว่าชิปไวร์เลส-แลนรุ่นเดิม ในรุ่น Intel PRO/Wireless 3945ABG นั้น ก็ยังสามารถนำมาใช้งานกับแพลทฟอร์มนี้ได้เช่นเดียวกัน และก็ถือว่ามันผ่านมาตรฐานของเซนทริโนด้วย นั่นก็คือผู้ผลิตโน้ตบุ๊คสามารถเลือกใช้ชิปไวร์เลส-แลนรุ่นใดก็ได้ในสองรุ่นนี้ เพื่อประกอบเข้ากับเครื่องโน้ตบุ๊คที่ป็นแพลทฟอร์ม Santa Rosa ของตนเอง ตามความเหมาะสมของโน้ตบุ๊คแต่ละรุ่น และเพื่อรักษาระดับราคาไม่ให้สูงจนเกินไปด้วยครับ

Intel® Turbo Memory

การเปิดตัวแพลทฟอร์ม Santa Rosa ครั้งนี้ ทางอินเทลได้ถือโอกาสในการเปิดตัวเทคโนโลยีอีกหลายตัว และหนึ่งในนั้นที่น่าสนใจก็คือ เทคโนโลยีที่มีชื่อว่า Intel Turbo Memory ครับ (รหัสพัฒนา Robson) ที่ผมขอบอกล่วงหน้าไว้ก่อนว่า นี่ไม่ใช่องค์ประกอบที่บังคับของแพลทฟอร์ม Santa Rosa แต่อย่างใด แต่มันมาเป็นออพชั่น สำหรับเสริมหล่อให้กับโน้ตบุ๊คบางรุ่น ที่อยากจะหยิบไปใช้งาน และคอนเซปท์ของมันก็น่าสนใจทีเดียวล่ะครับ



Intel Turbo Memory คือการผสมผสานเอาเทคโนโลยี NAND Flash Memory เข้ามาคั่นกลาง ก่อนที่ระบบจะเรียกข้อมูลจากตัวฮาร์ดดิสก์ ซึ่งหลักการค่อนข้างคล้ายคลึงกับเทคโนโลยี ReadyBoost ของระบบปฏิบัติการวินโดวส์ วิสต้า และก็คล้ายกับเทคโนโลยี ReadyDrive ของ Hybrid Disk ด้วย .. ซึ่งก็ไม่แปลกครับ เพราะเทคโนโลยี Intel Turbo Memory นี้ เมื่อถูกนำมาใช้งานกับระบบปฏิบัติการวินโดวส์ วิสต้าแล้ว มันจะถูกเปิดใช้งานฟีเจอร์ ReadyBoost และ ReadyDrive ไปในเวลาเดียวกันเลย (เสมือนกับเราเสียบ USB Flash Drive เพื่อเปิด ReadyBoost และใช้งาน Hybrid Disk เพื่อเปิด ReadyDrive ไปพร้อมกัน) ที่นอกเหนือจากเป็นการเพิ่มความเร็วในการเข้าถึงข้อมูลจากฮาร์ดดิสก์แล้ว มันยังเป็นตัวลดภาระการทำงานของฮาร์ดดิสก์ลง ซึ่งจะส่งผลไปถึงอายุการใช้งานของฮาร์ดดิสก์ที่ยาวนานขึ้น และเป็นการใช้พลังงานโดยรวมของระบบที่ลดลงกว่าเดิมด้วยล่ะครับ

สำหรับเทคโนโลยี Intel TurboMemory นี้ มันจะมาในรูปแบบของ "ออพชั่น" เสริมสำหรับโน้ตบุ๊คบางรุ่น โดยมันจะมาในอินเตอร์เฟซ PCI Express ที่มีชิป NAND Flash ติดตั้งอยู่ (เบื้องต้น ทางอินเทลจะเป็นผู้ผลิตการ์ดตัวนี้ แต่ในอนาคต ก็จะมีผู้ผลิตรายอื่นๆ ทำออกมารองรับในตลาดเมื่อได้รับความนิยมมากขึ้น) ซึ่งหลักการค่อนข้างคล้ายคลึงกับการใช้งาน USB Flash Drive ในการเปิดการทำงานของ ReadyBoost แต่การใช้อินเตอร์เฟซ PCI Express ที่ฝังอยู่ภายในเครื่อง จะให้แบนด์วิธที่สูงกว่า รวมไปถึงใช้พลังงานน้อยกว่า USB ถึง 1 ใน 3 ครับ ... ออพชันเสริมตัวนี้ ดูน่าสนใจไม่น้อยเลยกับโน้ตบุ๊คในแพลทฟอร์ม Santa Rosa และอินเทลเคลมว่า มันเป็นออพชันที่มีราคาไม่แพงมากนัก เนื่องจากปัจจุบันเทคโนโลยี NAND Flash มีราคาที่ถูกลงกว่าเดิมมาก และขนาดของ Flash Memory ที่จะนำมาใช้กับเทคโนโลยี Intel Turbo Memory ก็ไม่จำเป็นต้องมีขนาดใหญ่มากครับ (ซัก 512MB - 1GB ก็โอเคแล้ว)

Main Features - Santa Rosa 2007

สำหรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น และฟีเจอร์หลักๆ ของ "เซนทริโนใหม่" หรือแพลทฟอร์ม Santa Rosa นั้น เพื่อให้เข้าใจง่าย และ ไม่เกิดความสับสน ผมขอสรุปให้ฟังเป็นข้อๆ ตามนี้ครับ

- มีการขยับไปใช้ซีพียู Core 2 Duo ที่มีความเร็ว FSB สูงขึ้น จากเดิม 667MHz มาเป็น 800MHz ซึ่งยังคงเป็นซีพียู Core 2 Duo ในโค้ดเนม Merom เหมือนเดิม (มีทั้งรุ่นที่มีเคชระดับสองขนาด 4MB และ 2MB)

- มีการเปลี่ยนซ็อกเกตของซีพียู เพื่อไม่ให้ผู้ผลิตเกิดความสับสน เผลอนำซีพียูใหม่ (ที่มี FSB 800MHz) ไปใช้กับชิปเซ็ทเก่า (ที่รองรับเพียง FSB 667MHz) ซึ่งเป็นการสลับพินของซีพียูเท่านั้น แต่ก็มีการเรียกชื่อจากซ็อกเกต M ไปเป็นซ็อกเกต P

- ชิปเซ็ทใหม่ คือชิปเซ็ทตระกูล Mobile Intel 965 Express Chipset จะมาพร้อมกับชิปเซ็ทเซาท์บริจในตระกูล ICH8 ซึ่งมีฟีเจอร์ใหม่ล่าสุด ที่เรียกว่า Dynamic Front Side Bus Switching ที่จะไปควบคุมความเร็ว FSB อันจะช่วยในการลดอัตราการใช้พลังงานของซีพียูลงเมื่อซีพียูไม่ได้ถูกใช้งาน และแน่นอนว่า มันจะช่วยให้เราสามารถประหยัดแบตเตอรี่ได้มากขึ้นกว่าเดิม

- ชิปกราฟฟิกใหม่ ที่มาพร้อมกับชิปเซ็ท มีชื่อว่า Intel Graphics Media Accelerator X3100 มีความสามารถในการรองรับวินโดวส์ วิสต้า ในโหมด Aero รวมถึงรองรับ DirectX 9.0 พร้อม OpenGL 1.5 และมาพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่ Intel Clear Video Technology ที่ไปเพิ่มความคมชัด และความแม่นยำในการนำเสนอของภาพเคลื่อนไหว

- ชิปไวร์เลสแลนตัวใหม่ ในรุ่น 4965AGN รองรับมาตรฐาน Wireless-N ที่จะช่วยให้การสตรีมข้อมูล โดยเฉพาะ การสตรีมวีดีโอ ผ่านแลนไร้สาย มีความเร็วที่สูงขึ้น และตามทฤษฎีแล้ว มีความเร็วสูงกว่าแลนมีสายในปัจจุบันเสียอีก (หากระบบพื้นฐานรองรับ Wireless-N ทั้งหมด)

- ออพชั่นเสริมหล่อ Intel Turbo Memory ที่ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่องค์ประกอบที่บังคับของแพลทฟอร์มเซนทริโน แต่ก็น่าสนใจจริงๆ สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คในแพลทฟอร์มใหม่นี้ โดยอาศัยหลักการของ ReadyBoost กับ ReadyDrive ผสมผสานกัน

- สำหรับคนที่คาดหวัง คำว่า WiMAX หรือมาตรฐาน 802.16 ในแพลทฟอร์ม Santa Rosa นี้ คงต้อง "อดใจรอ" ไปถึงเจเนอเรชันถัดไปของ Centrino ครับ (ในโค้ดเนม Montevina) ที่จะมาถึงในช่วงปี 2008 แต่ก็อาจจะมีการพูดถึง WiMAX อีกครั้งในแพลทฟอร์มของ Santa Rosa ที่อาจจะตามออกมาเป็นออพชั่นเสริมหล่อเช่นกัน

- เช่นเดียวกับแพลทฟอร์ม Napa ที่อาจจะมีการออกแพลทฟอร์มมา "Refresh" หนึ่งครั้ง และแพลทฟอร์ม Santa Rosa Refresh นั้น จะออกมาเพื่อรองรับกับซีพียูในระดับ 45 นาโนมตรของอินเทล ภายใต้โค้ดเนม Penryn ในช่วงปลายปี 2007 นี้

- สำหรับ Intel Centrino Pro ในแพลทฟอร์มนี้ แท้จริงแล้วก็คือการเอาเทคโนโลยี vPro มาบวกเข้าไปกับ Centrino ที่วางขายทั่วไป และเกิดแบรนด์ใหม่ที่เรียกว่า Centrino Pro ก็เท่านั้นครับ อย่าสับสนว่ามันมีคุณสมบัติที่เหนือกว่ากันอย่างไรเมื่อมันปรากฏอยู่ในตลาด

Conclusion

การเปิดตัวแพลทฟอร์ม Intel Centrino Processor Technology ครั้งนี้ ถือเป็นอีกครั้ง ที่อินเทลตอกย้ำถึงความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ของแพลทฟอร์ม "เซนทริโน" ที่เกิดขึ้นมากว่า 4 ปีแล้ว และการปรับเปลี่ยนโฉมของเซนทริโน ทั้งการปรับเปลี่ยนชื่อเต็ม, การปรับเปลี่ยนโลโก้ ไปจนถึงการเสริมพลังให้แบรนด์เซนทริโนมีความแข็งแกร่งมากขึ้น ยังคงเป็นที่ถูกใจสำหรับผู้ใช้งานโน้ตบุ๊คทั่วโลกอยู่เช่นเดิม เนื่องจากทางอินเทลยังคงไม่ทิ้งคอนเซปท์ของความเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์สำหรับการพกพา แถมยังคงพัฒนาต่อยอดให้องค์ประกอบต่างๆ ของมันมีประสิทธิภาพที่สูงขึ้น และยังไม่ลืมที่จะมีออพชั่นเสริมที่น่าสนใจออกมาให้เลือกใช้งานกันมากกว่าเดิมด้วย

ในอนาคตอันใกล้นี้ เราคงจะได้เห็นโน้ตบุ๊คจากทุกค่าย ขยับปรับเปลี่ยนไปใช้แบรนด์ของ Intel Centrino Processor Technology ซึ่งสามารถสังเกตได้จากสเป็คที่ผมได้กล่างถึงไปในวันนี้ หรืออาจจะสังเกตง่ายๆ ไปยังโลโก้ของเซนทริโนที่มีการเปลี่ยนแปลงไปก็ได้ครับ และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่จะเป็นจุดเปลี่ยนของแพลทฟอร์มในเครื่องโน้ตบุ๊ค ที่ใครยังไม่รีบร้อนที่จะต้องซื้อ ผมแนะนำให้ "รอ" ดูแพลทฟอร์ม Santa Rosa นี้จะดีกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของประสิทธิภาพโดยรวมที่ดีขึ้นเหนือกว่าแพลทฟอร์ม Napa Refresh ในปัจจุบันทุกจุดค่ะ

Spacials Thanks...OverclockZone.CoM

Tech News : วงการ Notebook โกลาหล เรียกซ่อมชิพ Nvidia ครั้งใหญ่

วงการ Notebook โกลาหล เรียกซ่อมชิพ Nvidia ครั้งใหญ่



ชิพ Nvidia Notebook ทุกรุ่นที่ใช้





เมื่อต้นเดือนกรกฏาคม 2551 ที่ผ่านมี มีข่าวลือหนาหูเกื่ยวกับข้อผิดพลาดในการออกแบบ/ผลิตชิพของบริษัท Nvidia ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการชิพการ์ดจอ ซึ่งส่งผลต่อชิพเกือบทุกรุ่นที่ Nvdia ผลิต ไม่ว่าจะเห็นการจอ, ชิพเซ็ต, ชิพ Wireless ซึ่งข่าวลือครั้งนี้ส่งผลให้หุ้นของ Nvidia ตกเป็นประวัติการ



และจากบทความใน theinquirer ซึ่งส่งทีมงานศึกษาเรื่องราวข้อเท็จจริง และนำมาเผยแพร่สรุปได้ว่า ชิพทุกตัวที่ใช้กระบวนการผลิตแบบ ASICs ซึ่งอยู่ในรุ่นเดียวกับ G84 และ G86 (Geforce 8400 series และ Geforce 8600 Series) จะมีปัญหาในการทำงานของตัวชิพเกิดขึ้น เมื่อมีการใช้งานไปได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง

สาเหตุของปัญหามีที่มาจากการที่ตัวชิพผ่าน ความร้อน->ความเย็น->แล้วกลับมาร้อน (เรียกว่า Heat Cycle) จนมีจำนวนครั้ง Heat Cycle ถึงระดับหนึ่ง ดัวชิพนั้นจะเกิดปัญหาขึ้นภายในส่งผลให้การทำงานของตัวชิพผิดพลาดอย่างร้ายแรง รวมทั้งอาจจะทำให้ตัวชิพหยุดการทำงานไปเลยก็ได้

ในบทความยังรายงานอีกว่าปัญหาของชิพ Nvidia จะพบมากในชิพรุ่น GF8400M Series และ GF8600M Series ทั้งนี้เนื่องมาจากชิพทั้งสองตัวนิยมใช้งานกันอย่างแพร่หลายใน Notebook ซึ่งประเด็นสำคัญอยู่ที่การทำงานของ Notebook นั่นเอง เนื่องจาก Notebook มีลักษณะการออกแบบให้เน้นประหยัดพลังงาน ดังนั้นจึงมีระบบตัดการทำงานของพัดลมเมื่อความร้อนลดลง และพัดลมจะเริ่มทำงานอีกครั้งเมื่อมีความร้อนสูงขึ้น ตรงจุดนี้เองส่งผลให้ชิพการ์ดจอทั้ง 2 รุ่นดังกล่าว มีจำนวนครั้ง Heat Cycle มากกว่าชิพของ Nvidia รุ่นอื่นๆ ส่งผลให้มียอดของ Notebook ที่ใช้ชิพรุ่นดังกล่าวเสียเป็นจำนวนมาก

สถานะการณ์ในเบื้องต้นดูเหมือนจะเป็นเพียงแค่ข่าวลือ โดยมีเพียงแค่สื่อบางสื่อในสหรัฐอเมริกาที่ตีแผ่ข่าวเหล่านี้ แต่ในท้ายที่สุดแล้ว วันนี้ Dell และ HP ในอเมริกาได้ออกประกาศแจ้งลูกค้าถึงข้อผิดพลาดใน Notebook ทุกรุ่นที่ใช้ชิพ Nvidia ที่มีปัญหา พร้อมกันนั้นยังได้ออก Patch ซึ่งเป็น ROM ของ BIOS เพื่อบรรเทาความเสียหายจากกรณีของชิพ Nvidia มีปัญหาดังที่กล่าวมา

Patch ที่ทาง Dell และ HP ปล่อยออกมานั้นเป็นวิธีแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ โดย BIOS ตัวใหม่นี้จะสั่งงานให้พัดลมที่ระบายความร้อนของชิพ Nvidia ทำงานอยู่ตลอดเวลาขณะเปิดเครื่อง เพื่อช่วยลดจำนวน Heat Cycle ซึ่งจะยืดเวลา ต่ออายุชิพ Nvidia ออกไปได้ อย่างไรก็ตามยังไม่มีการประกาศใดๆจากผู้ผลิต Notebook ยี่ห้ออื่น รวมทั้งทาง Nvidia ยังคงปิดข่าวเงียบต่อไป




สำหรับผู้ใช้ Notebook ของ Dell สามารถดูรายละเอียดรุ่นที่มีปัญหา และดาวโหลด Patch ได้ที่นี่ http://direct2dell.com/







ผู้ใช้ Notebook ของ HP และ Compaq สามารถดูรายละเอียดรุ่นที่มีปัญหาได้ที่นี่
หากพบว่าเข้าข่ายอยู่ในรุ่นที่มีปัญหา สามารถดาวโหลด BIOS ได้ที่นี่

อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับนโยบายของ HP คลิกที่นี่

ลูกค้าของ HP และ Compaq ในสหรัฐอเมริก ทาง HP ได้ประกาศเรียกให้ผู้ใช้นำ Notebook รุ่นที่มีปัญหาเข้ามารับบริการที่ศูนย์บริการฟรี หรือจัดส่ง Notebook มายังศูนย์บริการฟรีโดยทาง HP จะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการรับส่งให้ และพร้อมกันนี้ทาง HP สหรัฐอเมริกา ยังได้ประกาศเพิ่มการรับประกันเป็นกรณีพิเศษจาก 1 ปี เป็น 2 ปีนับจากวันที่ซื้อ (หรือ 90 วันนับจากวันที่ส่งเครื่องมาซ่อมจนเสร็จตามโครงการนี้ ขึ้นอยู่กับว่าระยะใดจะถึงก่อน) เฉพาะ Notebook รุ่นที่มีปัญหาดังที่ HP ประกาศไว้

อนึ่ง ทางทีมงาน TechXcite ได้ติดต่อไปยัง Call Center ของ HP ในประเทศไทยเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม ได้รับคำตอบว่า ทางศูนย์ HP ในประเทศไทยยืนยันการเพิ่มการรับประกันตามประกาศจากทางเว็บ HP ด้านบน หากเครื่องของท่านใดตรวจสอบเครื่องแล้วมี รุ่นและ Product Number (P/N) ตรงกับรุ่นที่แจ้งไว้ในเว็บของ HP สหรัญอเมริกา สามารถรับบริการได้เช่นเดียวกันกับ HP สหรัฐอเมริกาที่ศูนย์ HP ประเทศไทยได้เลยครับ

PS. ขออนุญาตย้ำตรงนี้อีกครั้งนะครับ โครงการเพิ่มประกันข้างต้นเป็นโครงการของ HP สหรัฐอเมริกานะครับ ถ้าเครื่อง Notebook ของท่านมี รุ่นและ P/N ตรงกับที่ประกาศสามารถรับบริการได้ที่ศูนย์ HP ไทยครับ ส่วนเครื่องที่รุ่นหรือ P/N ไม่ตรงก็ไม่เข้าเงื่อนไขข้างต้นครับ ยังคงเป็นการรับประกันตามปกติของรุ่นๆนั้นๆครับ ข้อมูลทุกอย่างในข่าวนี้อ้างอิงจากเว็บไซต์ต่างประเทศ เว็บไซต์ Dell และ HP นะครับ ทาง TechXcite เป็นผู้ประมวลข้อมูลและเผยแพร่ครับ หากมีข้อมูลอื่นที่มีผิดไปจากในข่าว แต่ได้อ้างว่าเป็นข้อมูลโดยตรงจาก TechXcite เราขอปฏิเสธข้อมูลนั้นทุกกรณีครับ

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
แหล่งข่าวจาก
http://www.engadget.com และ http://www.theinquirer.net

นาโนเทคโนโลยีกับการพัฒนาเครื่องสำอาง






นาโนเทคโนโลยีกับการพัฒนาเครื่องสำอาง
โดย ดร.อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย
ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ

กระแสความตื่นตัวด้านนาโนเทคโนโลยีได้เข้ามาสู่ชีวิตประจำวันของเราในทุก ด้าน จะเห็นได้จากผลิตภัณฑ์ที่ได้ออกสู่ท้องตลาดหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์กีฬา เสื้อผ้าที่มีคุณสมบัติใหม่ๆ จอภาพแสดงผลบนอุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์ และคาดว่าจะเกิดผลิตภัณฑ์ใหม่ๆออกมาอย่างต่อเนื่อง ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของสินค้าที่ได้รับความสนใจอย่าง มาก เนื่องจากความสวยความงามเป็นเรื่องใกล้ตัวที่เราสามารถสัมผัสได้ ผิวพรรณที่อ่อนนุ่ม ไร้ริ้วรอยและดูอ่อนกว่าวัยเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ โดยเฉพาะเมื่อมีการนำเอานาโนเทคโนโลยีมาใช้เพื่อพัฒนาคุณภาพและประสิทธิภาพ ในการออกฤทธิ์ของเครื่องสำอางแล้ว ยิ่งทำให้กระแสความตื่นตัวในด้านนาโน เทคโนโลยีเป็นที่ต้องการและสามารถสร้างจุดขายได้เป็นอย่างดี

เครื่องสำอางที่มีการนำนาโนเทคโนโลยีมาใช้สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ
1. การสังเคราะห์อนุภาคนาโน เพื่อใช้เป็นสารกันแดดในกลุ่มโลหะ
ออกไซด์ เช่น ซิงค์ออกไซด์(ZnO) ไททาเนียมไดออกไซด์ (TiO2) โดยทั่วไปสารเหล่านี้เมื่อทาบนผิวสามารถดูดกลืนและสะท้อนแสงได้เป็นอย่างดี ยอมให้แสงขาวที่ตามองเห็นทะลุผ่านได้ แต่ไม่ยอมให้รังสี UVA และ UVB ผ่านได้ ดังนั้นเมื่อสามารถสังเคราะห์สารดังกล่าวให้มีขนาดที่เล็กลงในระดับนาโนเมตร ได้จะทำให้มีพื้นที่ผิวที่มากขึ้น และด้วยอนุภาคที่เล็กละเอียดเมื่อทาบนผิวจะทำให้ไม่เกิดเป็นคราบขาว

2. การเตรียมในรูปแบบของของเหลวกระจายตัวที่มีสารออกฤทธิ์เก็บกักภายในถุงหุ้ม (nanodispersed
system) ซึ่งสามารถทำได้ในหลายรูปแบบ เช่นไลโปโซม (liposomes) อิมัลชัน (nanoemulsions) อนุภาคนาโนชนิดไขมันแข็ง (solid lipid nanoparticles) ซึ่งการเตรียมสารออกฤทธิ์ในรูปแบบดังกล่าวนี้จะช่วยในด้านการเพิ่มความคงตัว ของสารออกฤทธิ์จากการสัมผัสแสงและออกซิเจน สามารถควบคุมการปลดปล่อยได้ตามต้องการ รวมทั้งอาจมีผลในการซึมผ่านผิวหนังได้ดีขึ้น ซึ่งขึ้นอยู่กับขนาดของอนุภาค ที่เตรียมได้

ไลโปโซม
เป็นรูปแบบหนึ่งที่ได้มีการนำมาใช้วิจัยและพัฒนามาเป็นเวลานานเพื่อใช้เป็น ระบบนำส่งยาทางการแพทย์ โดยได้มีการค้นพบครั้งแรกโดย Dr. Alec Bangham ในปี 1965 ใช้เป็นระบบนำส่งสารออกฤทธิ์ในรูปแบบถุง (vesicular structures) ที่มีขนาดอนุภาคที่เล็กในระดับนาโนเมตรจนถึงไมโครเมตร ซึ่งขนาดของถุงไขมันที่ได้จะขึ้นกับชนิดของไลโปโซมและวิธีการเตรียม ผนังของไลโปโซมจะเป็นไขมันชนิดฟอสฟอไลปิดซึ่งเป็นไขมันชนิดเดียวกันกับไขมัน ที่ผิวหนังของมนุษย์ จากสูตรโครงสร้างของไขมันชนิดนี้ประกอบด้วยสองส่วน คือ ส่วนที่ชอบน้ำ(hydrophillic) เป็นหัว และส่วนที่ไม่ชอบน้ำ (lipophillic)เป็นหาง จากโครงสร้างทำให้ไลโปโซมเกิดการจัดเรียงตัวของผนังเป็นสองชั้น (bilayers) อย่างชัดเจน สามารถเก็บกักสารสำคัญได้หลายรูปแบบ โดยการเก็บกักสารที่ละลายน้ำได้น้อยไว้ในส่วนผนัง และสารละลายน้ำได้ละลายอยู่ด้านใน
กลไกในการนำส่งยาเข้าสู่ผิวหนังของไลโปโซมมีหลายกลไก ได้แก่
(1) ไลโปโซมดูดซับบริเวณผิวส่วนนอกสุด แล้วเกิดการแตก และเพิ่มแรงส่งให้ยาเข้าสู่ผิวหนังได้ดีขึ้น และ
(2) ไลโปโซมซึมเข้าสู่ผิวหนังชั้นนอกสุดและหลอมรวมกับส่วนของไขมันในชั้นนี้ และเกิดการปลดปล่อยสาร โดยทำหน้าที่เป็นเหมือนตัวเก็บกักยาให้ค่อยปลดปล่อยออกมา ทำให้เกิดประสิทธิภาพที่ยาวนานขึ้น
อย่างไรก็ดีไลโปโซมที่เตรียมได้มักจะประสบปัญหาทางด้านความไม่คงตัวทั้งทาง กายภาพและทางเคมี ตัวอย่าง เช่น ทางกายภาพจะเกิดการรวมตัวกันของไลโปโซมแต่ละถุงทำให้ได้ขนาดที่ใหญ่ขึ้น หรือเกิดการแตกออกทำให้สารที่ต้องการเก็บกักไว้ภายในถุงหลุดออกมา ทางด้านเคมีอาจเกิดปฏิกริยา ไฮโดรไลซิสหรือออกซิเดชันของไขมันที่ถุงได้
นอกจากไลโปโซมแล้วยังมีอีกรูปแบบของระบบนำส่งที่มีลักษณะเป็นถุงคล้ายกันคือ
-Niosome ได้จากการใช้สารลดแรงตึงผิวชนิดไม่มีประจุ (non-ionic surfactant) แทนการใช้ฟอสโฟไลปิดโดยการเตรียมจาก polyoxyethylene alkyl ethers ทำให้ niosomes มีราคาถูกลง และ มีความคงตัวที่ดีกว่าไลโปโซม
-Transferosome เป็นถุงไลโปโซมที่มีความยืดหยุ่นสูงซึ่งได้จากการใช้ไขมันชนิดฟอสฟอไลปิด ร่วมกับสารลดแรงตึงผิว เช่น sodium cholate หรือ deoxycholate โดยเชื่อว่าอนุภาคชนิดนี้สามารถบีบตัวผ่านช่องว่างของเซลล์ในชั้นผิวหนัง ด้านบนได้
-Ethasomes คือไลโปโซมที่มีปริมาณเอทานอลในปริมาณสูงเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการ ละลายและบรรจุสารได้หลายชนิดและช่วยให้ถุงมีความนิ่มและสามารถบีบตัวผ่าน เข้าสู่ผิวหนังได้ถึงผิวหนังชั้นในหรือเข้าสู่กระแสเลือดได้

อนุภาคนาโนชนิดไขมันแข็ง (solid lipid nanoparticles)
เป็นระบบนำส่งสารที่มีขนาดอนุภาคอยู่ในช่วง 50 ถึง 1,000 นาโนเมตร สามารถเตรียมได้โดยใช้หลักการเดียวกันกับการเตรียมอิมัลชั่นชนิดน้ำมันในน้ำ โดยใช้สารห่อหุ้มประเภทไขมัน เช่น ไตรกลีเซอไรด์ และแวกซ์ เป็นต้น ซึ่งสารเหล่านี้เข้ากันได้กับร่างกาย เมื่อเตรียมเสร็จและปล่อยให้เย็นตัวลงที่อุณหภูมิห้อง สารห่อหุ้มจะเปลี่ยนสถานะเป็นของแข็งและหุ้มสารสำคัญเอาไว้ข้างใน ลักษณะโครงสร้างของอนุภาคของอนุภาคนาโนชนิดไขมันแข็งจะคล้ายกับนาโนอิมัล ชั่น (nanoemulsion) คือชั้นที่ห่อหุ้มนั้นจะเรียงตัวกันชั้นเดียว (monolayer) แต่ ณ อุณหภูมิห้องและอุณหภูมิร่างกาย อนุภาคนาโนชนิดไขมันแข็งจะอยู่ในสถานะของแข็ง ส่วนนาโนอิมัลชั่นจะอยู่ในสถานะของเหลว ดังนั้น จึงมีผลต่อการปลดปล่อยสารสำคัญ อนุภาคนาโนชนิดไขมันแข็งจะสามารถควบคุมการปลดปล่อยสารสำคัญอยู่ในสารห่อหุ้ม ที่เป็นของแข็ง ดังนั้นสารสำคัญจึงค่อยๆ ถูกปลดปล่อยออกมาและสามารถลดการระคายเคืองของผิวหนังจากสารสำคัญบางชนิดได้ สามารถเตรียมได้ด้วยการเตรียมสารสำคัญและไขมันในรูปแบบของอิมัลชั่นก่อนแล้ว ทำการลดขนาดด้วยเครื่อง high pressure homogenizer
ข้อดีของรูปแบบอนุภาคนาโนชนิดนี้ คือ สามารถควบคุมการปลดปล่อยสารสำคัญ และช่วยเพิ่มระยะเวลาในการออกฤทธิ์ เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว (occlusion effect) เพิ่มความคงตัวของสารสำคัญและผลิตภัณฑ์ เพิ่มการดูดซึมสารลงในชั้นที่ลึกยิ่งขึ้น สามารถนำวิธีการไปผลิตในระดับอุตสาหกรรมได้ง่าย การนำมาใช้ในทางเครื่องสำอางสามารถทำได้ในหลายรูปแบบ คือ ใช้ได้ทันทีในรูปแบบโลชั่น หรือบรรจุลงในเนื้อครีม หรือทำให้อยู่ในรูปแบบเจล โดยการเติมสารเพิ่มความหนืด ปัจจุบันได้มีการจดสิทธิบัตรการเตรียมการใช้ high pressure homogenizer โดยบริษัท SkyePharma ประเทศอังกฤษ ส่วนการเตรียมด้วยเทคนิคไมโครอิมัลชัน ได้จดสิทธิบัตรโดยบริษัท Vectorpharma ประเทศอิตาลี

นาโนอิมัลชัน (nanoemulsion)
เป็นระบบในรูปแบบของเหลวใสที่มีความคงตัวทางเทอร์โมไดนามิกส์สูง มีชื่อเรียกหลายชื่อเช่น oil-in-water emulsions หรือ submicron emulsion หรือ miniemulsion มีลักษณะของอนุภาคที่เรียกว่าไมเซลล์ (micelle) ที่มีขนาดประมาณ 10 ถึง 140 นาโนเมตร โดยมีส่วนประกอบหลัก คือ น้ำมัน น้ำและสารลดแรงตึงผิว โดยสามารถคงรูปอยู่ได้จากผิวฟิล์มของสารลดแรงตึงผิว สามารถเตรียมได้จากสารลดแรงตึงผิวหลายชนิดแต่ต้องคำนึงถึงความเป็นพิษของสาร เช่นกัน แต่โดยทั่วไปแล้วจำเป็นต้องใช้สารลดแรงตึงผิวในปริมาณสูงเพื่อเพิ่มความคง ตัวของของเหลว

อนุภาคนาโนที่ทำจากพอลิเมอร์ (polymeric nanoparticles)
เป็น รูปแบบที่มีการนำมาใช้ในทางการแพทย์มาก สามารถเตรียมได้หลายวิธี เช่น solvent evaporation, polymerization ตัวอย่างของพอลิเมอร์ที่มีการนำมาใช้ เช่น PLGA หรือ poly(lactic-co-glycolic acid) เนื่องจากเป็นสารที่ได้รับการยอมรับจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาว่า สามารถย่อยสลายได้ในร่างกาย มีความปลอดภัยสูง รูปแบบที่มีการนำมาใช้เก็บกักสารในกลุ่มวิตามินซีได้เป็นผลิตภัณฑ์รูปแบบผง อนุภาคนาโนชนิดแห้งและเมื่อต้องการใช้จะทำการผสมกับครีมหรือเจลก่อนการใช้ ตัวอย่างเช่น Nano LeVic®"ผลิตโดย Hosokawa Powder Technology Research Institute (HPTRI) ร่วมกับบริษัท Powder Green® ประเทศญี่ปุ่น

เครื่องสำอางนาโนที่มีวางขายในเชิงพาณิชย์
- สำหรับการนำมาใช้ในทางเครื่องสำอางเริ่มจากการผลิตไลโปโซมเจล ของบริษัท Christian Dior ในปี ค.ศ. 1986 ในชื่อ Capture® และตามด้วยผลิตภัณฑ์ในชื่อ Plentitude® ของ บริษัท L’Oreal ได้ใช้เทคนิคของ Niosomes ในการนำส่งสารเพื่อเพิ่มความชุ่มชื่นแก่ผิว ในปัจจุบันได้มีการใช้เทคนิคการเตรียมอนุภาคนาโนตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น เพื่อการบรรจุและนำส่งสาร โดยผสมอนุภาคเหล่านี้กับเนื้อของเครื่องสำอาง เช่น
- ครีมบำรุงผิวที่มีอนุภาคบรรจุสารอุ้มความชื้น (hemectants) สารทำให้ขาว (whitening agent) สารชะลอความแก่ (anti-aging) เอนไซม์ หรือวิตามินต่างๆ
- ครีมกันแดดที่มีสารกันแดด (sunscreen) หรือสารอุ้มความชื้น
- ครีมรองพิ้นที่มีสารปรับสีผิว หรือสารทำให้ผิวสีเข้ม (tanning agents)
- ลิปสติกที่มีอนุภาคนาโนบรรจุน้ำมันเพื่อเพิ่มความชุ่มชื่นที่สามารถออกฤทธิ์ได้เมื่ออนุภาคแตกออก
- แป้งแข็งและอายแชโดว์ที่มีอนุภาคบรรจุสารสี (pigment) และหัวน้ำหอม

นอกจากนี้การใช้อนุภาคนาโนที่ไม่ได้มีการบรรจุสารสำคัญใดๆ เช่น ไลโปโซมแบบเปล่าเพื่อเป็นส่วนผสมในครีมบำรุงผิวสามารถช่วยเพิ่มความชุ่มชื่น แก่ผิวได้เช่นกัน
guest

โพสต์: 111
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ 14 ก.พ. 2009 11:19 pm

โมดูล 3 จี Gobi ของควอลคอมม์

โมดูล 3 จี Gobi ของควอลคอมม์
[align=center][img]http://www.thaipr.net/dsppic/dsppic.aspx?filesid=192978B373C5C2AE076E24B8B246A6E1[/img] [/align]

- Microsoft DeLorme และ Absolute Software คือหนึ่งในบริษัทที่เพิ่มความสามารถ GPS ด้วย Gobi -

ควอลคอมม์ อินคอร์ปอเรทเต็ด (Nasdaq: QCOM) ผู้นำด้านพัฒนาเทคโนยีผลิตภัณฑ์ และบริการไร้สาย เมื่อเร็วๆนี้ได้เปิดตัว โมดูล 3 จี Gobi ที่สามารถรองรับบริการการระบุตำแหน่งสำหรับ โน๊ตบุคและคอมพิวเตอร์ ไร้สาย โดยบริษัทผลิตซอฟต์แวร์ชั้นนำ อาทิ Microsoft DeLorme และ Absolute Software กำลังนำความสามารถของ โมดูล Gobi ของควอลคอมม์ ไปใช้เพื่อเพิ่มความสามารถในการระบุตำแหน่งหรือ GPS ให้แก่คอมพิวเตอร์ โน๊ตบุค เน็ตบุค และอุปกรณ์อินเตอร์เน็ตแบบเคลื่อนที่

มร. ไมค์ คอนแคนนอน รองประธานอาวุโสฝ่ายระบบการเชื่อมต่อของควอลคอมม์ CDMA เทคโนโลยี กล่าวว่า “ขณะนี้ผู้ผลิตอุปกรณ์ หรือ OEM ชั้นนำหลายแห่ง กำลังเพิ่มขีดความสามารถของโน๊ตบุคและ เน็ตบุค ด้วยโมดูล Gobi ของควอลคอมม์ เพื่อรองรับการใช้งานบรอดแบนด์ไร้สายแบบมัลติโมดและ GPS” “นี่เป็นโอกาสสำคัญสำหรับบริษัทซอฟต์แวร์ที่จะพัฒนาแอพพลิเคชั่นสำหรับโน๊ตบุคที่สามารถให้ระบุตำแหน่งมาสู่ผู้บริโภคและธุรกิจต่างๆ”

แอพพลิเคชั่นที่ใช้ความสามารถในการระบุตำแหน่ง ด้วย โมดูล Gobi ของควอลคอมม์มีทั้งสำหรับผู้บริโภคและธุรกิจอาทิ เช่น

จาก Microsoft ได้ผลิตโปรแกรม แผนที่ถนนและการเดินทางสำหรับผู้บริโภคและ Mappoint ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ระบุตำแหน่งและวิเคราะห์ธุรกิจ จาก DeLorme —ซึ่งเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีสร้างแผนที่ตั้งแต่ปี 2519 และผู้ให้บริการ GPS มามากกว่า 12 ปี—มีสาม ทางเลือก ให้ซึ่งทั้งหมดจะมี รายละเอียดของแผนทิ่ ระบบเส้นทางอัตโนมัติ และความสามารถ GIS แบบสูง Street Atlas USA (แผนที่ถนนสหรัฐ) สำหรับการหาทางบนท้องถนนใน สหรัฐอเมริกาและแคนาดา รวมถึงสถานที่ที่หน้าสนใจถึง 4 ล้านจุด Topo USA สำหรับข้อมูลถนนของสหรัฐอเมริกาและแคนาดา สถานที่ที่น่าสนใจถึง 4 ล้านจุด และแผนที่ภูมิประเทศที่ระบุการใช้ที่และรายละเอียดของการใช้ที่ XMap สำหรับการวางแผนที่ GIS และการเคลื่อนย้ายแรงงาน จาก Absolute มี Computrace LoJackสำหรับการค้นหาคอมพิวเตอร์ที่ถูกโขมย และComputrace Complete สำหรับการบริหารสินทรัพย์ไอที เพื่อปกป้องข้อมูล ระบุตำแหน่งและความสามารถในการแจ้งตำแหน่งในกรณีที่ถูกโขมย

ตัว โมดูล Gobi2000 จะเปิดตัวในช่วงฤดูร้อนนี้ ซึ่งเป็นการพัฒนาความสามารถมาจากบรอดแบนด์มัลติโมดของ โมดูล Gobi1000 ด้วยความสามารถในการระบุตำแหน่งที่ดีกว่าด้วยเทคโนโลยี Assisted-GPS (A-GPS) และ gpsOneXTRA Assistance Technology ซึ่งมอบการทำงานที่ดีกว่าสำหรับ GPS ผ่านดาต้าเมื่อไม่มี A-GPS

ควอลคอมม์ อินคอร์ปอร์เรทเต็ด (Nasdaq: QCOM) ผู้นำด้านการพัฒนานวัตกรรมการให้บริการและผลิตภัณฑ์การสื่อสารไร้สายดิจิทัลบนเทคโนโลยี CDMA และเทคโนโลยีชั้นสูงอื่นๆ มีสำนักงานใหญ่ที่เมืองซานดิเอโก มลรัฐแคลิฟอร์เนียควอลคอมม์ ถูกจัดอันดับอยู่ในดัชนี S&P 100 S&P 500 และ FORTUNE 500 ในปี 2551 ในตลาดหุ้นแนสแดคภายใต้สัญลักษณ์ว่า QCOM สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาเข้าชม [url]www.qualcomm.com[/url]

นอกจากข้อมูลที่มีแล้ว ข้อมูลในข่าวนี้ได้ให้ข้อมูลการคาดการณ์ล่วงหน้า ซึ่งอาจมีความเสี่ยงและความไม่แน่นอน ตลอดจนสมรรถภาพของบริษัทที่ประสบผลสำเร็จในการผลิตสินค้าจำนวนมากของส่วนประกอบ CDMA ที่เร็วกว่ากำหนดและได้ผลกำไร ด้านขอบเขตและความเร็วซึ่ง CDMA ได้จัดให้ใช้งานแล้ว การเปลี่ยนแปลงสภาวะทางเศรษฐกิจบริษัทได้ให้บริการในตลาดที่หลากหลาย และรายละเอียดด้านความเสี่ยงอื่นๆ เป็นครั้งคราวในรายงานของบริษัท ต่อ SEC รวมไปถึงแบบฟอร์มรายงาน10--K สำหรับสิ้นปีในวันที่ 28 กันยายน 2551 และแบบฟอร์ม 10--Q อันล่าสุด

ควอลคอมม์ ได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของบริษัทควอลคอมม์ Gobi, Gobi1000 และ Gobi2000 เป็นเครื่องหมายทางการค้าของบริษัทควอลคอมม์ Absolute และ Computrace เป็นเครื่องหมายทางการค้าของบริษัท Absolute Software Corporation. LoJack เป็นเครื่องหมายทางการค้าของบริษัท LoJack Corporation โดยได้อนุญาตในการใช้จากบริษัท Absolute Software Corp. LoJack Corporation ไม่รับผิดชอบข้อมูลในนี้ CDMA2000 ได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของ Telecommunications Industry Association (TIA USA) เครื่องหมายทางการค้าทั้งหมดเป็นทรัพย์สินเฉพาะของผู้ถือกรรมสิทธิ์

ในข่าวนี้ไม่มีการเสนอขายอะไร ข่าวนี้อาจจะมีการอ้างอิงหรือแสดงรูปภาพบางส่วนของการใช้ประโยชน์จากอุปกรณ์ของการผลิต การใช้ การขาย การนำเสนอเพื่อขาย หรือการนำสินค้าเข้าไปยังประเทศอเมริกาซึ่งควอลคอมม์ อยู่ภายใต้คำสั่งศาล ข่าวนี้มีเจตนาที่จะจัดหาข้อมูลสำหรับสินค้า และการใช้สินค้าที่นอกเหนือจากคำสั่งศาลเท่านั้น การใช้ประโยชน์ในส่วนของอุปกรณ์ 1 x EV-DO ต้องใช้ประโยชน์จากไฮบริดของควอลคอมม์ในการแก้ปัญหาเพียงอย่างเดียว

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ
ประชาสัมพันธ์บริษัท โทเทิล ควอลิตี้ พีอาร์ (ประเทศไทย) จำกัด
เจมส์ โบรมิโลว์ / สุภารัตน์ โพธิวิจิตร
เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ / เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์อาวุโส
โทร 02 260 5820 ต่อ 114/ 113 หรืออีเมล์ [email]james@tqpr.com[/email]; [email]aey@tqpr.com[/email]

สหรัฐอเมริกาคิดค้น 15 สิ่งประดิษฐ์ของโลกยุคปัจจุบัน ที่นำความเจริญให้กับมนุษย์ชาติ

15 สิ่งประดิษฐ์ของโลกยุคปัจจุบัน ที่นำความเจริญให้กับมนุษย์ชาติ


15 สิ่งประดิษฐ์ของโลกยุคปัจจุบัน ที่นำความเจริญให้กับมนุษย์ชาติ ได้เป็นบันได้ให้นักวิทยาศาสตร์ได้ต่อยอดมาถึงเวลานี้ อันนำมาซึ่งความสะดวกสะบายให้กับการดำเนินชีวิตของมนุษย์ทุกชาติ ทุกเผ่าพันธ์ ถ้าสิ่งประดิษฐ์เหล่านี้ไม่ได้กำเนิดขึ้นมา เราจะไม่ได้รับอนิสงค์ในการดำเนินชีวิตที่สะดวกในเวลานี้เลย

1. เอทีเอ็ม
ธนาคารบาเคลยส์ พ.ศ.2510
ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าใครเป็นคนประดิษฐ์เครื่องทำธุร
กรรมการเงินอัตโนมัติ หรือ เอทีเอ็ม เครื่องแรก แต่มีการขอจดสิทธิบัตรสร้างตู้เอทีเอ็มราวๆ 70 ปีก่อนโดยนักประดิษฐ์อเมริกัน
ตู้ เอทีเอ็มเครื่องแรกของโลกเปิดให้บริการโดยธนาคารบาเคลย์ส (Barclays) กรุงลอนดอน อังกฤษ ในปี 2510 ถือเป็นก้าวแรกของการทำธุรกรรมการเงินอิเล็กทรอนิกส์ที่นำไปสู่การคิดค้น เทคโนโลยีรหัสรักษาความปลอดภัย (PIN) รวมทั้งการทำธุรกรรมผ่านโทรศัพท์และอินเตอร์เน็ต

2. บาร์โค้ด
นอร์แมน โจเฟซ วู้ดแลนด์ พ.ศ.2515
ทุกวันนี้พลิกดูบรรจุภัณฑ์ หรือสินค้าแต่ละชนิดจะต้องพบรหัสบาร์โค้ด
นอร์ แมน โจเฟซ วู้ดแลนด์ เริ่มคิดค้นบาร์โค้ดมาตั้งแต่สมัยศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยฟิลาเดลเฟีย สหรัฐอเมริกา เมื่อมาทำงานที่บริษัท ไอบีเอ็ม จึงเริ่มคิดค้นอย่างจริงจัง วัตถุประสงค์เพื่อสร้างระบบ จำแนกสินค้าอัตโนมัติ และในปี 2515 ก็สามารถนำเอาความก้าวหน้าด้านคอมพิวเตอร์กับแสงเลเซอร์มาพัฒนาบาร์โค้ดจน สำเร็จ

3. แผ่นซีดี
คลาสส์ คอมพานน์ พ.ศ.2512
ปี 2512 คลาสส์ คอมพานน์ นักวิทยาศาสตร์ชาวดัตช์ ลูกจ้างบริษัทฟิลิปส์เสนอแนวคิดสร้างแผ่นออพติคัลดิสก์ หรือแผ่นซีดี เพื่อนำมาใช้เก็บข้อมูลเสียงเพลงอย่างคงทนถาวรในรูปแบบไฟล์ดิจิตอลแทนที่การ บันทึกลงแผ่นไวนิล
อย่างไรก็ตาม แผ่นซีดีผลิตออกสู่ท้องตลาดจริงๆ ในปี 2525 หลังจากฟิลิปส์กับโซนี่จับมือกันพัฒนาซีดีขึ้นมา จนปัจจุบันได้กลายเป็นอุปกรณ์เก็บข้อมูลที่มีคนนิยมใช้มากที่สุดในโลก

4. แกะโคลนนิ่งดอลลี่
เอียน วิลมุต พ.ศ.2540 ปี 2540 เอียน วิลมุต นักวิจัยสถาบันโรสลิน เอดินบะระ สกอตแลนด์ สร้างแกะโคลนนิ่ง ตัวแรกของโลกพร้อมกับตั้งชื่อให้มันว่า ดอลลี่
ดอล ลี่ เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมตัวแรกของโลกที่สร้างโดยกระบวนการคัดลอกแบบทาง พันธุกรรม (โคลนนิ่ง) ด้วยการสกัดเอานิวเคลียส ในไข่ของแกะเพศเมียออก และสอดเอาเซลล์ร่างกาย ของแกะที่ต้องการสร้างเข้าไปแทนที่ จุดประกายความหวังในการสร้าง “มนุษย์โคลนนิ่ง” ท่ามกลางเสียงทักท้วงในโลกตะวันตกว่าหน้าที่สร้างสิ่งมีชีวิตเป็นของพระเจ้า ไม่ใช่มนุษย์

5. โครงการถอดรหัสพันธุกรรมมนุษย์
โครงการ ถอดรหัสพันธุกรรมมนุษย์ เป็นความร่วมมือระหว่างนักวิทยาศาสตร์หลายร้อยคนในสหรัฐ อังกฤษ จีน ฝรั่งเศส เยอรมนี และญี่ปุ่น ซึ่งตั้งใจถอดรหัสการจัดเรียงตัวของ “ดีเอ็นเอ” หรือ หน่วยพันธุกรรม 3 พันล้านตัวอักษร กระทั่งประสบความสำเร็จในเดือนเม.ย. 2546 ช่วยให้แพทย์และนักวิทยาศาสตร์เข้าใจการทำงานของร่างกายคนเราอย่างลึกซึ้ง ที่สุดในประวัติศาสตร์

6. โทรศัพท์มือถือ
มาร์ติน คูเปอร์ พ.ศ.2516
พื้น ฐานการสร้างเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ไร้สาย หรือ มือถือ มีมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษ 1940 (พ.ศ.2483) แต่ต้องใช้เวลาต่อมาอีกหลายสิบปี มาร์ติน คูเปอร์ ถึงจะสามารถประดิษฐ์มือถือเครื่องแรกของโลกให้กับบริษัทโมโตโรลา
การใช้ งานมือถือขยายตัวไปทั่วโลกเพราะความก้าวหน้าของเทคโนโลยีจีเอสเอ็มที่ใช้กัน แพร่หลายมากกว่า 80 ประเทศ ประกอบกับราคามือถือถูกลงเรื่อยๆ ขณะที่การใช้งานหลากหลายขึ้น ทั้งบริการเอสเอ็มเอส วิดีโอโฟน อี-เมล ถ่ายภาพดิจิตอล ฯลฯ

7. คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (พีซี)
พลันที่ ซิลิคอนชิป ถือกำเนิดขึ้น เทคโนโลยีสมองกล ที่เรียกว่าคอมพิวเตอร์ก็พัฒนาอย่างก้าวกระโดด
เมื่อ 40 ปีก่อน คอมพิวเตอร์มีขนาดพอๆ กับสำนักงาน 1 แห่ง และแล้วปี 2520 พีซีขนาดตั้งโต๊ะเครื่องแรก แอปเปิล II ก็เผยโฉมขึ้น ตามด้วยพีซีสมรรถภาพสูง IBM 5150 ของไอบีเอ็มที่ออกวางตลาดปี 2524 จากนั้นอีก 2 ปีระบบปฏิบัติการวินโดวส์ ของไมโครซอฟท์จะช่วยให้พีซีระบาดไปทั่วโลกเพราะใช้งานง่าย

8. ดาวเทียม
สหภาพโซเวียต พ.ศ.2500
ทันที ที่ดาวเทียม “สปุตนิก” ของโซเวียตถูกส่งออกไปนอกโลกเมื่อปี 2500 การแข่งขันด้านอวกาศระหว่าง 2 ชาติยักษ์ใหญ่ยุคสงครามเย็น สหรัฐอเมริกากับ โซเวียต ก็เปิดฉากเป็นทางการและบีบบังคับให้สหรัฐต้องส่ง ?นีล อาร์มสตรอง? ไปเหยียบดวงจันทร์ในอีกประมาณ 10 กว่าปีต่อมา
ถ้าไม่มีดาวเทียม ทุกวันนี้เราก็จะไม่มีคำว่า การสื่อสารไร้พรมแดน และ หมู่บ้านโลก

9. เด็กหลอดแก้ว
แพทริก สเต็ปโท-โรเบิร์ต เอ็ดเวิร์ดส์ พ.ศ.2521
แพ ทริก สเต็ปโท นักสรีรวิทยา โรเบิร์ต เอ็ดเวิร์ดส์ นรีแพทย์ ร่วมมือกันคิดค้นวิธีการผสมเทียมนำอสุจิกับไข่ของมนุษย์มาผสมเทียมในหลอด แก้วเพื่อให้ปฏิสนธิมนุษย์นอกครรภ์มารดา
การทดลองล้มเหลว 80 ครั้ง ในที่สุดปี 2521 วิธีผสมเทียมของทั้ง 2 คนก็ให้กำเนิดเด็กหลอดแก้วคนแรกของโลก หลังจากหนูน้อย หลุยส์ บราวน์ ร้องอุแว้ในห้องคลอดเมืองโอลด์แฮม อังกฤษ

10. ยานวอยเอเจอร์
นาซ่า พ.ศ. 2520
เป็น เวลากว่า 30 ปี ยานอวกาศ วอยเอเจอร์ 1-2 ขององค์การอวกาศสหรัฐอเมริกา (นาซ่า) ทำหน้าที่เก็บข้อมูลจากปลายสุดของระบบสุริยะจักรวาลส่งตรงกลับมายังฐานนาซ่า บนโลกเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลของดาวพฤหัส ดาวเสาร์ ยูเรนัส และเนปจูน

11. http://www. ทิม เบอร์เนอร์ส ลี พ.ศ.2534
โครงข่ายสารสนเทศอินเตอร์เน็ต ซึ่งเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกันเริ่มเป็นรูปเป็นร่างตั้งแต่ 30 ปีก่อน
แต่ บุคคลที่ทำให้อินเตอร์เน็ตกลายเป็นยาสามัญประจำบ้านสำหรับประชากรโลก คือ ทิม เบอร์เนอร์ส ลี โปรแกรมเมอร์อังกฤษ ผู้คิดโปรแกรมสืบค้นทางอินเตอร์เน็ตแบบไฮเปอร์เท็กซ์ World Wide Web : http://www. ขึ้นมาจนสามารถนำมาใช้ในเชิงพาณิชย์เชื่อมคอมพิวเตอร์ทั่วโลกเข้าด้วยกันปี 2534

12. นาโนเทคโนโลยี
เอริก เดร็กซ์เลอร์ พ.ศ.2529
เอ ริก เดร็กซ์เลอร์ นักวิทยาศาสตร์อเมริกันบัญญัติคำว่า นาโนเทคโนโลยี ครั้งแรกปี 2529 เพื่ออธิบายวิสัยทัศน์ของ ศ.ริชาร์ด ฟายน์แมน เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ ซึ่งวาดภาพการใช้วิธีจัดเรียง อะตอม ของสิ่งต่างๆ เพื่อนำมาสร้างสิ่งประดิษฐ์ขนาดจิ๋ว ไม่ว่าจะเป็นหุ่นยนต์ คอมพิวเตอร์ เครื่องยนต์ ฯลฯ
ปัจจุบันนาโนเทคฯ ค่อยๆ เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมนุษย์แล้วในรูปแบบผลิตภัณฑ์ต่างๆ

13. พลังงานนิวเคลียร์
อังกฤษ พ.ศ.2499
นับ แต่มีการค้นพบปฏิกิริยา นิวเคลียร์ฟิชชั่น ในยุคคริสต์ศตวรรษ 1930 นักวิทยาศาสตร์ตระหนักถึงความเป็นไปได้ในการผลิต พลังงานนิวเคลียร์
ในปี ค.ศ.1956 หรือ พ.ศ.2499 โรงงานพลังงานนิวเคลียร์แห่งแรกของโลกก็เดินเครื่องที่เมืองคาลเดอร์ ฮอลล์ ประเทศอังกฤษ แต่เหตุการณ์โรงงานนิวเคลียร์ ?เชอร์โนบิล? ของโซเวียตระเบิด ทำให้โลกถกเถียงกันอย่างหนักถึงผลดี-ผลเสียของการใช้พลังงานชนิดนี้

14. เลเซอร์
ธีโอดอร์ ไมแมน พ.ศ.2503
เลเซอร์ ถือกำเนิดมาจากทฤษฎีทางฟิสิกส์ของ ?อัลเบิร์ต ไอนสไตน์? อธิบายหลักการปล่อยโฟตอนโดยการกระตุ้นอะตอม เพราะในการเกิดการปล่อยโฟตอนดังกล่าวจะทำให้เกิดความเข้มแสงเพิ่ม ซึ่งเป็นหลักการของเลเซอร์โดยทั่วไป
เทคโนโลยีเลเซอร์หลุดจากโลกนิยาย กลายเป็นความจริง เมื่อ ธีโอดอร์ ไมแมน นักวิทยาศาสตร์ประจำห้องปฏิบัติการวิจัยของบริษัทฮิวส์ สหรัฐ ลงมือสร้างเลเซอร์เครื่องแรกของโลกสำเร็จ มีความยาวคลื่น 694.3 nm ทุกวันนี้เลเซอร์นำไปใช้กับระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ การทหาร การแพทย์ หรือแม้แต่ความบันเทิง เช่น อ่านแผ่นซีดีเพลง
(ไม่เชื่อลองหงายเม้าดูสิ)

15. หัวใจเทียม
โรเบิร์ต ยาร์วิก พ.ศ.2525
มนุษย์เกิดมาต้องตายและต้องตายโดยมิอาจหลีกเลี่ยงถ้า หัวใจ หยุดเต้น
แต่ นักประดิษฐ์เครื่องมือผ่าตัด โรเบิร์ต ยาร์วิก? ไม่ยอมรับกฎธรรมชาติข้อนี้ และสร้าง หัวใจเทียม ให้คณะแพทย์มหาวิทยาลัยยูทาธ์ สหรัฐอเมริกา นำไปผ่าตัดให้กับนายบาร์นีย์ คลาร์ก ซึ่งมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีก 112 วันหลังผ่านการผ่าตัด
ทุกวันนี้หัวใจเทียมช่วยยืดชีวิตคนไข้ที่รอการเปลี่ยนหัวใจจำนวนนับไม่ถ้วน

www.oknation.net/blog/556644/2009/08/06/entry

เทคโนโลยีสารสนเทศในอนาคต ที่กำลังจะเกิดขึ้น

อนาคต Mobile TV อนาคตโทรศัพท์มือถือ "3G"?

ในอนาคตอันใกล้ "โทรทัศน์แบบพกพา" หรือ TV on the go จะกลายเป็น "ตัวทำเงิน"
ตัวใหม่ของบรรดาผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือแทนบริการแบบดั้งเดิมทั้งหลาย เนื่องจากดีมานด์
ของการชมโทรทัศน์ผ่านโครงข่ายโทรศัพท์ 3G (third-generation) กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว
บริษัทวิจัยชื่อดังของอังกฤษชื่อ "อินฟอร์มา เทเลคอม แอนด์ มีเดีย" ประเมินว่า ภายในอีก 5 ปีข้างหน้า
จะมีจำนวนผู้ใช้บริการถ่ายทอด Mobile TV ทั่วโลกสูงถึง 124.8 ล้านคน

"อลาสแตร์ ไบรดอน" 1ในคณะผู้ทำรายงานระบุว่า ภาพและเสียงที่ส่งออกมาอย่างต่อเนื่องจะใช้พื้นที่
ความถี่ในเครือข่ายมากกว่าสัญญาณเสียงถึง 10 เท่า ดังนั้น หากมีผู้ชมโทรทัศน์นาน 10 นาทีต่อวันก็
จะส่งผลต่อเครือข่ายมาก แม้ตอนนี้เครือข่าย 3G จะยังว่างอยู่ เพราะมีคนใช้บริการไม่มาก จึงยังไม่เกิด
ปัญหา แต่หากบริการได้รับความนิยมในอนาคต ก็จะเกิดปัญหาใหญ่ตามมา

ทำไม? เครือข่าย 3G จึงไม่สามารถรองรับปริมาณการจราจรของภาพจำนวนมากๆ ได้

คำตอบคือ 3G ได้ถูกแยกย่อยออกมาเป็นหน่วยเล็กๆ หรือเรียกว่า เซลล์ ที่แชร์อยู่ในคลื่นความถี่
ซึ่งเครือข่ายได้ออกแบบให้เป็น "unicast" ที่ให้สัญญาณสามารถสื่อสารระหว่างผู้ส่งและผู้รับคนเดียว
หากคน 500 คนใช้เซลล์ดังกล่าวเหมือนกันในการชมวิดีโอชุดเดียวกัน เครือข่ายจะต้องส่งไฟล์สำเนาภาพ
ไปยังผู้ใช้แต่ละคน ซึ่งถือเป็นเรื่องยาก เพราะการส่งภาพวิดีโอกินพื้นที่ในหน่วยความจำมากกว่าการคุยโทรศัพท์
การส่งข้อความ หรือดาวน์โหลดริงโทนถึง 10 เท่า

ปัจจุบัน ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ค่ายต่างๆ พากันเทกระเป๋านับพันล้านดอลลารพัฒนาเครือข่ายโทรศัพท์ไร้สาย
3G เพื่อรองรับบริการแบบใหม่ๆ อาทิ การรับส่งอีเมล์ การดาวน์โหลดเพลงและภาพเคลื่อนไหว ซึ่งเป็นธุรกิจที่ทำเงินได้มาก


ดังจะเห็นได้จากการที่ 3 ยักษ์ใหญ่ที่ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือของสหรัฐเริ่มเปิดตัวบริการ Mobile TV
กันอย่างคึกคัก ไม่ว่าจะเป็น "เวริซอน ไวร์เลส" ที่ส่ง "วีคาสต์" (Vcast) มาชิมลางตลาด ตามหลัง "สปรินต์"
และ "ซิงกูลาร์" ขณะที่ผู้ให้บริการเนื้อหา หรือ content provider อย่างเอ็มทีวี และวอร์เนอร์ มิวสิค กรุ๊ป
ก็เซ็นดีลกับผู้ให้บริการหลายค่ายในการจะส่งเนื้อหาดิจิทัลผ่านโทรศัพท์มือถือเช่นกัน

แม้ขณะนี้จะยังไม่สามารถให้บริการ Mobile TV ได้อย่างสมบูรณ์ แต่ผู้ให้บริการคาดหวังว่า เครือข่าย 3G
ที่มีความรวดเร็วกว่าเครือข่ายแบบเดิมจะช่วยปรับคุณภาพของภาพ และนำไปสู่เนื้อหาที่มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการ
รับชมภาพยนตร์ ข่าวสาร รายการกีฬาแบบเรียลไทม์ ละครวิทยุสั้นๆ และการชมรายการโทรทัศน์แบบเต็มผัง

อย่างไรก็ตาม บริษัทเหล่านี้ยังมีปัญหาใหญ่ที่รออยู่เบื้องหน้า หากบริการโทรทัศน์เคลื่อนที่ได้รับความนิยมขึ้นมา
จริงๆ เพราะ 3G ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อส่งสัญญาณอย่างต่อเนื่อง

"อัลเบิร์ต ลิน" นักวิเคราะห์จากสถาบันวิจัยด้านเทคโนโลยีของอเมริกาคาดว่า ในที่สุด ผู้ให้บริการต้องย้ายบริการ
นี้ออกจากเครือข่ายมือถือ เพราะไม่มีศักยภาพที่จะรองรับวิดีโอออนดีมานด์ได้

เมื่อ 3G ยังเป็นโซลูชั่นที่ไม่สามารถรองรับกับมีเดียขนาดใหญ่ๆ ได้ วิธีที่จะให้บริการ Mobile TV อย่างมีประสิทธิภาพ
ก็ต้องถ่ายทอดเนื้อหาไปยังผู้ใช้ โดยให้ผู้ที่ต้องการชมต่อเชื่อมเครือข่ายคล้ายกับการถ่ายทอดสัญญาณของโทรทัศน์
และวิทยุแบบดั้งเดิม เพราะวิธีนี้สัญญาณภาพและเสียงก็จะถูกส่งไปในเครือข่ายเพียงครั้งเดียว แทนที่จะต้องสำเนาเพื่อ
ส่งให้ผู้ชมจำนวนหลายร้อยหลายพันครั้ง

ผลพลอยได้จากการที่ผู้ให้บริการปรับปรุงเครือข่ายของตนก็คือ ผู้ใช้ย่อมต้องซื้ออุปกรณ์พกพาใหม่เพื่อรองรับเทคโนโลยีใหม่

นอกจากนี้ การแยกเครือข่ายสัญญาณโทรทัศน์จะลดบทบาทของผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือ เพราะใครๆ ก็เข้าถึงเครือข่าย
แบบใหม่ได้ ผู้ให้บริการเนื้อหาจะขายสินค้าไปยังผู้บริโภคโดยไม่ต้องผ่านผู้ให้บริการเครือข่ายเหมือนแต่ก่อน

ที่มา
http://www.pil.in.th/upload/images/contents/content268/03/technology_life/future/future_talk/future_talk_1/future_talk_102.htm

ข่าวเทคโนโลยี IT ในอนาตค 4G

4G ระบบการสื่อสารในอนาคต



โลกยุคโลกาภิวัฒน์ในปัจจุบัน ได้ถือกำเนิดเทคโนโลยีใหม่ๆมากมายหลายด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีด้านการติดต่อสื่อสาร ซึ่งมีการคิดค้นและพัฒนากันอย่างรวดเร็ว อันนำมาซึ่งระบบเครือข่ายไร้สาย 4G ที่ เกิดขึ้นในอนาคตทำให้มนุษย์เราในฐานะผู้ใช้เทคโนโลยีจึงต้องก้าวตามเทคโนโลยีต่างๆเหล่านี้ให้ทันกับยุคสมัย



ระบบเครือข่ายการสื่อสารในปัจจุบัน เป็นเทคโนโลยีการสื่อสารไร้สายระบบ 2.5-3G ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยให้ผู้ใช้สามารถติดต่อสื่อสารได้ทั้งภาพและเสียง ตลอดรวมถึงข้อความต่างๆอาทิข้อความภาพและตัวอักษรได้ในเวลาอันรวดเร็ว ฉะนั้นประโยชน์จากการติดต่อสื่อสารไร้สายระบบ 2.5-3G นั้นก็คือ ผู้ใช้นอกจากจะติดต่อสื่อสารกันด้วยเสียงหรือการสนทนาแล้ว ยังสามารถที่จะติดต่อสื่อสารกันด้วยภาพหรือข้อความต่างๆได้อีกด้วย จนกระทั่งได้มีผู้คิดค้นระบบเครือข่ายการสื่อสารไร้สาย 4G ขึ้นมา เพื่อรองรับการสื่อสารไร้สายในอนาคต ระบบเครือข่ายการสื่อสารไร้สายแห่งอนาคตดังกล่าว ก็มีคุณสมบัติต่างๆคล้ายคลึงกับระบบเครือข่ายการสื่อสาร ไร้สาย 2.5-3G ในยุคปัจจุบัน แต่ก็มีคุณสมบัติพิเศษซึ่งแตกต่างกันนั้นก็คือ ระบบการสร้างภาพ 3 มิติ แต่ระบบการสร้างภาพ 3 มิตินั้นไม่ใช่ระบบ 3 มิติที่ใช้กันในปัจจุบัน เพราะเทคโนโลยีดังกล่าวเป็นการจำลอง ภาพคนหรือวัตถุที่สมจริงราวกับเป็นคนหรือวัตถุนั้นจริงๆเพียงแต่จับต้องไม่ได้เท่านั้น



อย่างไรก็ดี ประโยชน์ที่จะได้รับจากการนำระบบเครือข่ายการสื่อสารไร้สาย 4G มาใช้ นอกจากระบบการ สื่อสารดังกล่าวจะรองรับการสื่อสารในรูปแบบต่างๆแล้ว ผู้ใช้ยังสามารถที่จะนำโปรแกรมสื่อมัลติมีเดียมาปรับใช้กับเครือข่าย 4G ได้ เนื่องจากระบบเครือข่ายการสื่อสารไร้สาย 4G นั้น มีความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลได้ถึง 100 เมกะบิทต่อวินาที โดยการนำโปรแกรมสื่อมัลติมีเดียดังกล่าวมาใช้อาทิเช่น การฟังเพลง MP3 ผ่านระบบเครือข่ายการสื่อสาร เป็นต้น นอกจากนั้นผู้เชี่ยวชาญต่างเห็นด้วยว่า มีหลายสิ่งที่อาจเป็นไปได้ในระบบเครือข่ายการสื่อสารไร้สาย 4G โดย Ran Yan รองประธานฝ่ายวิจัยระบบไร้สายบริษัท Lucent Technologies กล่าวว่า มีหลายสิ่งที่อาจเป็นไปได้ในระบบเครือข่ายการสื่อสารไร้สาย 4G ซึ่งสิ่งใหม่ๆที่ เกิดขึ้นอาจรวมถึงการช่วยเสริมประสิทธิภาพของระบบ GPS (Global Positioning System) ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นกว่าในปัจจุบันและหากมีการผสมผสานเทคโนโลยีดังกล่าวเข้ากับระบบเครือข่ายการสื่อสารไร้สาย 4G ก็จะสามารถค้นหาตำแหน่งที่ตั้งต่างๆได้ทั่วโลกราวกับว่าบุคคลนั้นได้ไปอยู่ในสถานที่เหล่านั้นจริงๆ เช่น หากคุณไม่อยู่บ้าน แต่มีคนมาเคาะประตูบ้านคุณๆก็อาจจะตัดสินใจใช้เทคโนโลยีนี้ฉายภาพคุณเพื่อทักทายกับคนที่มาเคาะประตูนั้นก็ได้


ถึงกระนั้นคุณสมบัติต่างๆของระบบ 4G ก็ดูเหมือนยังห่างไกลจากความเป็นจริงในตลาดเทคโนโลยีในโลกยุคปัจจุบันมากจนดูราวกับว่าเป็นแค่เพียงนิยายวิทยาศาสตร์เท่านั้น แต่ถึงอย่างไรก็ยังเชื่อกันว่าจะต้องมีสักวันหนึ่งที่ระบบ 4G นั้นสามารถช่วยให้มีการใช้โปรแกรมสร้างภาพ 3 มิติที่สมบูรณ์แบบและช่วยให้คนเราสามารถติดต่อสื่อสารกันได้ง่ายขึ้นโดยอาจจะไปโผล่ที่นั่นที่นี่ได้ตามต้องกา

กฎหมายไอที รู้ไว้ห่างไกลคุก!

กฎหมายไอที รู้ไว้ห่างไกลคุก!

ปัจจุบัน เทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตและสารทนเทศ (ไอที) ได้เข้ามามีบทบาทต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน ทั้งด้านการค้า การศึกษา การติดต่อสื่อสาร

ประโยชน์ของอินเตอร์เน็ตนั้นมีมากมหาศาล แต่ขณะเดียวกันก็มีโทษอนันต์ถ้าใช้ผิดวิธี วันนี้ รวบรวมคำถาม-ไขข้องใจปัญหาข้อกฎหมายที่พบบ่อยว่า การใช้อินเตอร์เน็ตในทางที่ผิดรูปแบบไหน ทำให้ต้องเสี่ยงคุกเสี่ยงตะราง!



การใช้ "ชื่อ" และ "นามแฝง"

โลกอินเตอร์เน็ตเปิดช่องให้ผู้ใช้สามารถตั้งชื่อปลอม นามแฝง โกหกสถานะและอายุได้อย่างง่ายดาย

ในกรณีที่ใช้ "นามแฝง" ที่ตั้งขึ้นมาเองหรือไม่เกี่ยวข้องกับผู้ใดและไม่ได้ เข้าไปเขียนข้อความให้ร้ายผู้อื่นคงไม่มีปัญหา

แต่ถ้านำชื่อของบุคคลอื่นมาใช้โดยเจ้าตัวไม่ได้รับรู ้ จนทำให้เกิดความเสียหายจะต้องรับผิด อาจถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายได้



การพนันออนไลน์

ตามกฎหมายแบ่งแยกการพนันออกเป็น 2 ประเภท โดยแยกออกเป็น บัญชี ก. และ บัญชี ข.

กลุ่มที่อยู่ในบัญชี ก. กฎหมายห้ามเล่นโดยเด็ดขาด อาทิ พวกหวย ก.ข. ไฮโล ไพ่ต่างๆ ส่วนประเภทสองที่อยู่ในบัญชี ข. เล่นได้แต่ต้องขออนุญาตจากเจ้าหน้าที่สำนักงานตำรวจแ ห่งชาติก่อน

เว็บไซต์เกี่ยวกับการพนันออนไลน์มีนับไม่ถ้วน ส่วนใหญ่จะเป็นไพ่ต่างๆ และสล็อตแมชชีน ซึ่งถือเป็นการพนันตามบัญชี ก. ผู้ฝ่าฝืนก็มีโทษจำคุกตั้งแต่ 3 เดือนถึง 3 ปี อย่างไรก็ตาม การเล่นพนันออนไลน์ในขณะนี้ติดตามจับกุมยากและไม่คุ้ มกับทรัพยากรของภาครัฐ จึงยังไม่ค่อยเห็นการดำเนินคดีอย่างจริงจัง


ความผิดของ เว็บมาสเตอร์

เว็บมาสเตอร์ คือคำเรียกขานผู้ดูแลเว็บไซต์ต่างๆ ในกรณีมีนักท่องเน็ตเข้ามาเขียนกระทู้ โพสต์ข้อความ หรือโพสต์รูปที่ทำให้บุคคลอื่นเสียหาย รวมทั้งโพสต์ภาพอนาจาร หรือเขียนเนื้อหาพาดพิงสถาบัน ตัวนักท่องเน็ตคนนั้นถือว่ากำลังทำความผิดทางอาญา

ส่วนเว็บมาสเตอร์ ถ้าสืบสวนพบว่า เห็นข้อมูลที่สร้างปัญหา แต่ปล่อยปละละเลยไม่สนใจลบข้อความทิ้งหรือแก้ไขข้อคว ามก็อาจถูกฟ้องร้องฐานร่วมกระทำความผิดด้วย เช่น เรียกค่าเสียหายทางแพ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าในเว็บไซต์ดังกล่าวไม่มีมาตรการ ป้องกันการกระทำผิดกฎหมาย โอกาสต้องรับโทษจะยิ่งสูงขึ้น



ลิงก์-ไฮเปอร์ลิงก์ ละเมิดลิขสิทธิ์

โลกอินเตอร์เน็ตเปิดโอกาสให้แต่ละเว็บไซต์เชื่อมโยงข ้อมูลถึงกันได้อย่างสะดวกง่ายดาย ผ่านระบบที่เรียกว่า "ไฮเปอร์ลิงก์" หรือ "ลิงก์"

ปัญหาอาจเกิดขึ้นได้ ถ้าไปเอาข้อมูลจากเว็บไซต์อื่นๆ มาเผยแพร่ แม้จะทำลิงก์เชื่อมโยงที่มาเอาไว้ แต่ถ้าไม่ได้ขออนุญาตเจ้าของเว็บปลายทางโดยตรงก็อาจม ีความผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์ หรือทำซ้ำงานอันมีลิขสิทธิ์ของผู้อื่น

ในสหรัฐอเมริกามีข้อถกเถียงกันในประเด็นนี้อย่างแพร่ หลายถ้าจะเอาเว็บไซต์ของคนอื่นมาลิงก์เข้ากับเว็บไซต ์ของเราจะต้องไปขออนุญาตหรือไม่ ในประเทศไทยปัญหานี้ยังไม่เคยเกิดขึ้น แต่อนาคตอาจเกิดขึ้นได้ ดังนั้น ก่อนจะนำเว็บของคนอื่นมาลิงก์เข้ากับเว็บของเราควรขอ อนุญาตให้เรียบร้อยก่อน



การดาวน์โหลดเพลง

เพลง ถือเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ที่ใครจะไปทำซ้ำ ดัดแปลง หรือเผยแพร่ต่อสาธารณชนโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของ ไม่ได้

การอัพโหลดไฟล์เพลงขึ้นไปอยู่ในโลกอินเตอร์เน็ตถือเป ็นการละเมิดลิขสิทธิ์เช่นกัน ยิ่งถ้าทำเพื่อการค้าโดยเก็บเงินจากคนที่ดาวน์โหลดเพ ลงนับเป็นความผิดคดีอาญา

สำหรับคนที่ดาวน์โหลดมาฟังเฉยๆ ถือเป็นการทำซ้ำ แต่พอมีช่องทางทางกฎหมายที่จะอ้างได้ว่าไม่เป็นการละ เมิดลิขสิทธิ์ เพราะถือเป็นการทำซ้ำมาเพื่อใช้ประโยชน์เอง และการดาวน์โหลดมาฟังยังพอมีช่องทางต่อสู้คดีได้ว่าไ ม่ได้เป็นอุปสรรคกับการใช้ประโยชน์จากงานอันมีลิขสิท ธิ์ของเจ้าของลิขสิทธิ์ เพราะไม่ได้เอาไปขาย



การซื้อโปรแกรมลิขสิทธิ์มาก๊อบปี้แจกผู้อื่น

เนื่องจากโปรแกรมลิขสิทธิ์ หรือโปรแกรมถูกกฎหมายมีราคาแพงมาก ทำให้ธุรกิจโปรแกรมเถื่อนละเมิดลิขสิทธิ์เฟื่องฟูยิ่ งกว่าดอกเห็ด

อย่างไรก็ตาม แม้เราจะซื้อโปรแกรมลิขสิทธิ์มาใช้ แต่ถ้านำโปรแกรมนั้นไปแจกให้เพื่อนฝูงก๊อบปี้ หรือทำสำเนาไปใช้ต่อ ถือว่ามีความผิดฐาน "ทำซ้ำ" ซึ่งเข้าข่ายละเมิดลิขสิทธิ์ แม้กฎหมายจะมีข้อยกเว้นให้การทำสำเนาโดยเจ้าของโปรแก รมมีลิขสิทธิ์ ทำได้โดยไม่ผิดกฎหมาย แต่ไม่ใช่การยกเว้นโดยไม่มีขอบเขต เพราะกฎหมายจำกัดจำนวนสำเนาว่าให้มีจำนวนตามสมควร เพื่อวัตถุประสงค์ในการบำรุงรักษาหรือป้องกันการสูญห าย



อีเมล์ขยะ (สแปมมิ่ง)

ใครที่ใช้ อีเมล์ ทุกวันร้อยทั้งร้อยคงรู้สึกเบื่อหน่ายกับ อีเมล์โฆษณาขยะ ทั้งหลายที่ส่งมาได้ทุกวัน วันละหลายๆ ฉบับ ทั้งน่าเบื่อ น่ารำคาญ และเสียเวลาอ่าน

เจ้าของสินค้าหรือผู้ส่งอีเมล์ขยะเหล่านี้ได้ข้อมูลท ี่อยู่อีเมล์ของเราผ่านวิธีการหลากหลายรูปแบบ เช่น ฝังโปรแกรม "คุกกี้" เอาไว้ตามเว็บไซต์ที่เราเข้าไปดู จากนั้นก็ส่งคุกกี้เข้ามาคอยสอดส่องเก็บข้อมูลการใช้ คอมพิวเตอร์และอีเมล์ของเรา เพื่อส่งอีเมล์ขยะมาหา

ในสหรัฐ ปัญหาอีเมล์ขยะทำให้มีผู้ใช้อินเตอร์เน็ตไปร้องเรียน กับหน่วยงานของรัฐ เพื่อให้เร่งออกมาตรการควบคุม และเคยเกิดคดีดังขึ้นคดีหนึ่ง หลังจากบริษัท "เอโอแอล" ไอเอสพีหรือผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตยักษ์ใหญ่ของสหร ัฐ ลงมือฟ้องร้องบริษัทไซเบอร์โปรโมชั่น ฐานส่งอีเมล์โฆษณาขยะไปยังอีเมล์ของลูกค้าเอโอแอล นอกจากนั้น ยังมีอีกคดีที่ไอเอสพีฟ้องผู้ส่งอีเมล์ขยะฐานะ "บุกรุก" คอมพิวเตอร์ลูกค้า

ส่วนในไทยอาจเข้าข่ายผิดมาตรา 10 ในกฎหมายคอมพิวเตอร์ 2550 ที่ระบุว่า ผู้ใดกระทำการโดยมิชอบ เพื่อให้การทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นถูกระง ับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนจนไม่สามารถทำงานตามปกติได้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ



ข้อมูลจากเว็บไซต์ www.lawyerthai.com

วันพุธที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2553

F.T Island


F.T Island เป็นวงดนตรีที่ประกอบขึ้นด้วยสมาชิก 5 คน โดยชื่อวง "F.T Island" มีความหมายคือ "F" = Five เพราะว่าวงนี้ประกอบด้วยสมาชิก 5 คน"T" = Treasure คือความสามารถทางด้านดนตรีของพวกเขาเปรียบเสมือนสมบัติอันล้ำค่าDebut: 19 พฤษภาคม 2007Reality Show = TV Show Debut เปิดตัวครั้งแรกกับรายการ Reality ที่ออกอากาศวันที่ 13 มีนาคม ทางช่อง M.Net คอนเซ็ปต์ของรายการคือ "เพื่อขายหนุ่มหน้าตาดีที่สาวๆใฝ่ฝันถึง" หรือ "อยากจะเป็นแฟนหนุ่มของคุณ" โดยใช้การโหวตเข้าไปที่ http://M.net.com/ftisland เพื่อคัดให้เหลือสุดยอดหนุ่มที่สาวๆอยากจะครอบครองจริงๆF.T Island ประกอบด้วยเด็กวัยรุ่นที่รักในคอร์ดและเมโลดี้ และทั้ง 5 คนมีคาแร็คเตอร์ที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้:Lee Hongki (18) หนุ่มหล่อที่ทนความน่ารักของตัวเองไม่ไหวLee Jaejin (17) หนุ่มหล่อดีกรีนักเรียนดีเด่นO Wonbin (18) หนุ่มนักกีฬาChoi Minhwan (16) หนุ่มที่น่ารักที่สุดในจักรวาลChoi Jonghun (18) หนุ่มโรแมนติกหลังจากโชว์ออกอากาศได้ 10 นาที ก็มีสาวๆถึง 100 คนแปะรูปลงในเว็บ M.net F.T Island เพราะว่าพวกเธออยากจะเป็นแฟนของ F.T IslandM.Net Show ["Be My Girlfriend"]

Info:Choi Jong Hun
วันเกิด: 7 มีนา 1990,
โซลอายุ: 18 ปี แต่ใครๆคิดว่าผมโตกว่าอายุ
กรุ๊ปเลือด: A แต่ผมไม่ใช่พวกเห็นแก่ตัวนะ
ส่วนใหญ่เค้าบอกว่าคนกรุ๊ป B
เป็นแบบนั้นส่วนสูง: 178 ซม.
น้ำหนัก: 60 กิโลกรัม
โรงเรียน: ปีสอง ShinDongShinJung BoSan School (ม.5)
งานอดิเรก: เขียนเพลง, อินเตอร์เนต
ครอบครัว: พ่อแม่, JongHun (เป็นลูกคนเดียวนั่นเอง)
ความสามารถพิเศษ: เปียโนชื่อเล่น: SexyJongHun
ข้อดี: จมูก
ตำแหน่งในวง: หัวหน้าวง เหมือนจะเป็นหน้าที่ที่ยากนะ ใช่มั้ย?
สิ่งที่ชอบ: อาหาร?? แหะๆ~ & ดนตรี - ที่รัก
คติ: คิดและทำ (มุ่งหน้าไป) ผมไม่ค่อยมั่นใจนะ ขอโทษ!
ถึงคนรักในอนาคต: ผมจะซื้อของให้คุณ ได้มั้ย? คุณอยากได้อะไร? ^^;

"Lee Hong Ki
วันเกิด: 2 มีนา 1990, 6 กุมภา (ปฏิทินจันทรคติ <<< เค้าเรียกแบบนี้รึเปล่า?)
กรุ๊ปเลือด: AB กรุณาอย่าเรียกผมว่า "โรคจิต!" ผมไม่ใช่แบบนั้นนะ!
ส่วนสูง: 176 ซม.น้ำหนัก: 60 กิโลกรัม
โรงเรียน: ปีสอง SungJiGo School (ม.5)
งานอดิเรก: ร้องเพลง, ฟังเพลง, ฟุตบอล, เกมส์ (บอร์ด&อินเตอร์เนต),
ทำอาหารครอบครัว: พ่อแม่, น้องสาว, HongKiความสามารถพิเศษ: ร้องเพลง, ฟุตบอลชื่อเล่น: ..... (ภาษาเกาหลี...อะไรไม่รู้ แต่แปลว่า เด็กดื้อผู้น่ารัก)
ข้อดี: ตายิ้ม
ตำแหน่งในวง: ร้องนำ..อืม...ผมเป็นนักสร้างออร่าด้วย
สิ่งที่ชอบ: นอกจากเครื่องเทศผมชอบหมดเลย!!! อะไรก็ได้!! & ผมชอบของที่ทำให้ใจเต้นแรงด้วย (แล้วอะไรล่ะที่ทำให้ใจเต้นแรงน่ะ อีน้อง?)
คติ: มีด้วยเหรอ?
ถึงคนรักในอนาคต: พยายามให้ดีที่สุด! ถ้าผมทำไม่ดี ช่วยเข้าใจและให้อภัยผมด้วย (เค้านินทาว่า HongKi เป็นเครื่องตดด้วย ฮา~)

Oh Won Bin
วันเกิด: 26 มีนา 1990
กรุ๊ปเลือด: Oส่วนสูง: 180 ซม.
น้ำหนัก: 63 กิโลกรัม
โรงเรียน: ปีสอง SungJiGo School (ม.5)
งานอดิเรก: กีฬาทุกชนิด, แต่งเพลง
ครอบครัว: พ่อแม่, WonBinความสามารถพิเศษ: martial arts (ภาษาไทยเรียกอะไรแล้วอ่ะ พวกกีฬาต่อสู้อ่ะ ประมาณเทควันโด)
ชื่อเล่น: ... (ประมาณวอนบินเอ๋อ)
ข้อดี: ตายิ้มตำแหน่งในวง: แร๊พ, ร้องตำแหน่งที่สอง, กีต้าร์ที่สอง! ผมมีพรสวรรค์มากเลยเนอะ ^o^;; ขอโทษครับ!
สิ่งที่ชอบ: เล่นเกมส์, นอน & กิน ~ ชอบหมดเลย ^^
คติ: ไม่มี แต่ผมจะคิดดูนะ!!
ถึงคนรักในอนาคต: เมื่อไหร่คุณจะมาปรากฎตัวตรงหน้าผมซะที? ผมเหงาเหลือเกิน~~(แอบขำชื่อน้องเล็กๆ ชื่อเหมือนเฮียวอนบินที่ไปเกณฑ์ทหารเพิ่งปลดประจำการ รึเปล่า? อ่านภาษาอังกฤษแล้วเป็น โอ้! วอนบิน!!)

Lee Jae Jin
วันเกิด: 17 ธันวา 1991
กรุ๊ปเลือด: A
ส่วนสูง: 177 ซม.
น้ำหนัก: 58 กิโลกรัม
โรงเรียน: ปีหนึ่ง SunYoo High School (ม.4)
งานอดิเรก: เซิร์ฟเนต, ถามคำถามอาจารย์สอนดนตรี & อาบแดด
ครอบครัว: พ่อแม่, พี่สาว, JaeJinความสามารถพิเศษ: เบส, ฟังเพลง (ฟังเพลงมันเป็นความสามารถพิเศษตรงไหนคะน้อง -*-?)
ชื่อเล่น: JahJinnie
ข้อดี: ริมฝีปากตำแหน่งในวง: มือเบส
สิ่งที่ชอบ: เงิน...อาหาร....ดนตรี? อิๆๆ~คติ: ทำงานที่ได้รับมอบหมายให้ดีที่สุด!ถึงคนรักในอนาคต:

Saranghae~Choi Min Hwan
วันเกิด: 11 พฤศจิกา 1992 วันเปเปโร่ (ขนมป๊อกกี้เกาหลี) เวลากินเปเปโร่ กรุณาคิดถึงผมด้วยนะครับ~ อิๆอายุ: 16 ผมอยากเข้าม.ปลายแล้ว~
กรุ๊ปเลือด: A ผู้เอาแต่ใจ
ส่วนสูง: 171 ซม.
น้ำหนัก: 55 กิโลกรัมโรงเรียน: ปีสาม YangHwa Junior High School (ม.3)
งานอดิเรก: แต่งเพลง
ครอบครัว: พ่อแม่, ลูกพี่ลูกน้องที่อ่อนกว่า, MinHwanความสามารถพิเศษ: กลอง, กินไก่!
ชื่อเล่น: SahOhJungข้อดี: น่ารัก
ตำแหน่งในวง: มือกลอง - กระดูกสันหลังของ F.T Island!
สิ่งที่ชอบ: ไก่!!! ผมอยากถ่ายโฆษณาไก่ในเร็ววันจังเลย~ อิๆ
คติ: ไม่มีวันพรุ่งนี้สำหรับผม!?ถึงคนรักในอนาคต: แผนสาวที่น่ารักของผมครับ กรุณาดูแลสุขภาพด้วยนะ ผมรักคุณ!(น้องคนนี้ก็จะกินไก่อย่างเดียวเลย ระวังไข้หวัดนกนะน้องนะ~)

วันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

“แอดมิชชั่นขั้นเทพ”


สวัสดีครับ.. เปิดตัวแล้ว สำหรับหนังสือ “แอดมิชชั่นขั้นเทพ” คู่มือสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่รวบรวมข้อมูลไว้ครบที่สุด แน่นทุกเรื่อง มันส์ทุกประเด็น และสนุกทุกเหตุการณ์ที่เด็กแอดมิชชั่นไม่ควรพลาดแม้แต่ตัวอักษรเดียว !!



เพราะในหนังสือเล่ม นี้ได้รวมเอาเทคนิค และเคล็ดลับระดับเซียนขั้นเทพ มาเตรียมพร้อมให้น้องๆ ได้ตั้งหลัก เตรียมตัว และเตรียมลุยศึก สอบตรง และ แอด มิชชั่น !! เรียกได้ว่าเป็นหนังสือพี่เลี้ยงที่จะดูแลเด็กแอดฯ ตั้งแต่วินาทีแรกเตรียมตัวสอบ ไปจนถึงวินาทีสุดท้ายที่ประกาศผลว่า “เราติดแล้ววว” เย้ เย้



น้องๆ ม.6 คนไหนที่สอบ GAT PAT มาแล้วคะแนนเน่าจนระเหี่ยใจ ก็ไม่ต้องมัวไปโทษชะตาฟ้าดิน หรืออิจฉาเพื่อนที่ได้คะแนนสูง ยังไม่สายเกินไป รีบมาจับจองหนังสือเล่มนี้ก่อนใคร !!

ส่วน น้องๆ ม.4 และ ม.5 ที่ไม่อยากเหนื่อยสาหัสตอน ม.6 ก็รีบมาจับจองก่อนเพื่อนๆ เช่นกัน เพราะจะได้รู้เทคนิคการเตรียมตัวที่เหมาะกับตัวน้องที่สุด รับรองจะได้ทุ่นแรงไปเยอะแน่นอน !!

หนังสือ ดีๆ แบบนี้ พี่ลาเต้ ก็ขอออกตัวแรงงง !! โปรโมตให้น้องๆ ชาว Dek-D.com ได้รู้กันซะเลย อิอิ เพราะนอกจากจะเป็นผลงานหนังสือเล่มแรกของพี่ๆ ทีมงานเว็บไซต์ Dek-D.Com ช่วยกันเขียน ช่วยกันค้นหาข้อมูลกันแล้ว “แอดมิชชั่นขั้นเทพ” ยังเป็นหนังสือเล่มแรก และเล่มเดียวในประเทศไทยที่รวมเนื้อหาประสบการณ์แอดมิชชั่นด้วยภาษาวัยรุ่น ไว้มากที่สุดถึง 6 บทเต็มๆ ว้าวๆๆ



แต่ ละบทมีอะไรบ้างนะ ไปดูกันเลยยย ว้าวๆๆ



เด็กดีดอทคอม :: เปิดตัว !! หนังสือที่เด็กแอดมิชชั่นทุกคนต้องมี เด็กดีดอทคอม :: เปิดตัว !! หนังสือที่เด็กแอดมิชชั่นทุกคนต้องมี



>> บทที่ 1 วอร์มร่ายกาย ก่อนสู้ตายแอดมิชชั่น



เปิดตัวฟิตร่ายกาย ด้วยการพารู้จักการสอบเข้ามหาวิทยาลัยในรูปแบบต่างๆ โดยการให้เข็มทิศในการเดินต่อหลังจบ ม.6 และที่เด็ดสุดคือการฟันธงโอกาสของน้องๆ ในแผนการเรียนต่างๆ ใครที่กำลังสับสนอยู่ว่า “เรา เรียนสายศิลป์มาจะสอบเข้าคณะไหนได้บ้าง” “มีฝันอยากพยาบาลแต่จบ กศน. จะมีโอกาสบ้างไหม” หรือ “เรียน สายอาชีพ มีสิทธิ์ยื่นคะแนนคณะอะไรได้บ้าง” คำถามเหล่านี้หาคำตอบได้ในบทนี้เลย !!



>> บทที่ 2 คณะสารพัด คณะไหนที่ใช่เลย !!



บท นี้จะพาน้องๆ ท่องไปในโลกกว้างของมหาวิทยาลัยต่างๆ เพื่อค้นหาคณะในฝันที่ใช่ และเป็นตัวเรามากที่สุด พร้อมเปิดตัวคณะและสาขาวิชาเปิดใหม่ที่เด็กแอดมิชชั่นหลายคนไม่เคยรู้ ก่อนจะปิดท้ายด้วย 10 อาชีพในฝันที่กำลังมาแรง !! พร้อมแอบบอกเงินเดือนแต่ละอาชีพแอบน้ำลายไหล อิอิ รับรองอ่านบทนี้จบ นอกจากจะแอดมิชชั่นติดแล้ว เข้าไปเรียนมหา'ลัย 4 ปีไม่มีซิ่วแน่นอน ว้าวๆๆ



เด็กดีดอทคอม :: เปิดตัว !! หนังสือที่เด็กแอดมิชชั่นทุกคนต้องมี เด็กดีดอทคอม :: เปิดตัว !! หนังสือที่เด็กแอดมิชชั่นทุกคนต้องมี



>> บทที่ 3 แอดมิชชั่น รู้ก่อน มี “ติด” ก่อน



ยิ่งสอบ ยิ่งรู้สึกแย่ คะแนนก็ต่ำ ยิ่งต้องรับประทาน เอ๊ย !! อ่านบทนี้ด่วน!! เคล็ดลับระดับเทพเตรียมสอบ O-NET GAT PAT ที่เด็ดที่สุด หรือสูตรการเลือกคณะที่ทำให้เด็กแอดมิชชั่น “ติด” เยอะที่สุด ทั้งหมดนี้ได้ถูกรวบรวมไว้แล้ว เพื่อให้น้องๆ ที่อ่านได้นำเทคนิคทั้งหมดไปท้าชนทุกสนามสอบ น้องๆ โรงเรียนไหนที่ไม่มีโอกาสได้ฟังลีลาการเล่าประสบการณ์แอดมิชชั่นเด็ดๆ จนขนลุกซู่ของ พี่ลาเต้ บทนี้ห้ามพลาดเด็ดขาด เพราะหากอ่านก่อน นำไปใช้ก่อน ก็มีสิทธิ์ “ติด” ก่อน โดยเฉพาะ ม.4 ม.5 ยิ่งอ่านก่อน ยิ่งดีมากๆ



>> บทที่ 4 เข้ามหาวิทยาลัยด้วยทางลัด ต้องสอบตรง




สอบแอดมิชชั่นจะไม่ เหนื่อย และไม่ยาวนานอีกต่อไป เพราะบทนี้จะบอกเส้นทางลัดให้น้องๆ ถึงฝั่งฝันคณะในฝันได้ก่อนใคร ด้วยสิทธิพิเศษที่เด็กแอดมิชชั่นทุกคนมีสิทธิ์ !! ไม่ว่าจะเป็นสอบตรง รับตรง หรือโควต้า แต่ละมหาวิทยาลัยรับประมาณเดือนไหน ต้องสอบวิชาอะไร พร้อมนำระเบียบการรับตรงของแต่ละสถาบันมาวางเปรียบเทียบข้อดี ข้อเสีย และโอกาส “ติด” กันให้เห็นกันชัดๆ ไปเลย นอกจากนี้ยังเป็นหนังสือเล่มแรกที่เผยเทคนิคการสอบสัมภาษณ์ระบบสอบตรง ว่าต้องตอบแบบไหน ไม่ให้ “ตกรอบ”



เด็กดีดอทคอม :: เปิดตัว !! หนังสือที่เด็กแอดมิชชั่นทุกคนต้องมี เด็กดีดอทคอม :: เปิดตัว !! หนังสือที่เด็กแอดมิชชั่นทุกคนต้องมี



>> บทที่ 5 กวดวิชา อาวุธลับเด็กแอดฯ



ลับเฉพาะกับเคล็ดลับ การเรียนเพื่อเตรียมสอบแอดมิชชั่นจาก 4 ติวเตอร์ชื่อดังอย่าง ที่หากได้ยินชื่อแล้วต้องร้อง “อ๋อ+เซี่ยะ” ทันที !! ครู พี่แนนเอ็นคอนเซปต์ , อ.ปิงดาว้องก์, พี่ต้อมยู เรก้า และ หมอเผ่า Applied Physics พร้อมแล้วที่จะเน้น เค้นเทคนิคเด็ดๆ ให้น้องนำไปโชว์ทำคะแนนเต็มในทุกสนามสอบ น้องๆ คนไหนที่ขี้เกียจไปนั่งเรียนกวดวิชา หรืออยากเรียนสุดใจขาดดิ้นแต่เงินทองไม่เอื้อ ควักตังค์ซื้อหนังสือเล่มนี้ เล่มเดียวอยู่ !!



>> บทที่ 6 เคล็ดลับเด็ดแอดมิชชั่น


ปิดท้ายด้วย 9 เคล็ดลับแอดมิชชั่นขั้นเทพที่ใช้แล้วได้ผลจริง จนทำให้สอบ “ติด” จริง!! พิสูจน์แล้วจากเด็กแอดมิชชั่นรุ่นก่อนๆ ไม่ว่าจะเป็นรู้ทันข้อสอบ GAT PAT, เทคนิคสอบสัมภาษณ์ให้ผ่านฉลุย รวมไปถึงการทำแฟ้มผลงานให้โดนใจกรรมการ!! พร้อมปิดท้ายด้วยย้อนรอยชะตากรรมเด็กแอดมิชชั่นปี 53 (รุ่นผ้าปูโต๊ะ) ที่จะช่วยให้น้องๆ เห็นภาพชัดๆ ว่าใน 365 วันของของชีวิตเด็กแอดฯ มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง เพื่อเตรียมรับมือ ซึ่งเชื่อว่าน้องๆ ที่ได้อ่านอาจต้องเสียน้ำตา และมีแรงฮึดสู้มหาศาลแน่นอน !!

เอาล่ะครับ 6 บทเต็มๆ ที่ในหนังสือ “แอดมิชชั่นขั้นเทพ” หนังสือที่อ่านแล้วรับรองว่า น้องๆ จะถูกแปลงกายจาก “เด็กนักเรียนสามัญชนธรรมดา” เป็น “นักเรียนขั้นเทพ” ที่มีเทคนิคแพรวพราวท้าชนทุกสนามสอบมากกว่าคู่แข่งคนอื่นๆ อย่างทันที 555


หน้าปกสีส้ม สดใสแบบนี้ เด็กแอดฯ ทั้งหลาย จำไว้ให้ดี


เด็กดีดอทคอม :: เปิดตัว !! หนังสือที่เด็กแอดมิชชั่นทุกคนต้องมี

ปกหน้า
สีส้มๆ สดใส มองเห็น "แอดมิชชั่นขั้นเทพ" แต่ไกล




เด็กดีดอทคอม :: เปิดตัว !! หนังสือที่เด็กแอดมิชชั่นทุกคนต้องมี

ปกหลัง
อยากรู้ว่ามี อะไรในเล่มสือเล่านี้บ้าง อ่านที่ปกหลังเลย



สุดท้ายนี้ น้องๆ ชาว Dek-D.com ที่กำลังเตรียมสอบแอดมิชชั่น ทั้งมีแรงสู้ และไม่ไหวจะสู้ รีบหาหนังสือเล่มนี้ไปเป็นตัวช่วยก่อนที่จะสายเกิน !! หรือ หากคุณพ่อคุณแม่ผู้ปกครอง ครูแนะแนว ที่อยากจะได้หนังสือเล่มนี้เป็นเจ้าของ ก็ไปหาซื้อจับจองได้ที่ ร้าน หนังสือซีเอ็ด (SE-ED) ทุกสาขา และร้านหนังสือชั้นนำทั่วประเทศ โดยจะวางขายตั้งแต่วัน ศุกร์ที่ 6 สิงหาคม 2553 ในราคาเพียง 165 บาท คร๊าบ.. ^_^



ส่วนใครที่ใจร้อน รอไม่ไหว อยากรู้เทคนิค "แอดมิชชั่นขั้นเทพ" ก่อนใคร ก็กดคลิกเข้าไปสั่งซื้อผ่านระบบออนไลน์ได้ทันที ในวันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม 2553 นี้เป็นต้นไป ทางเว็บไซต์นี้เลย >> www.dek-d.com/publishing/admission/ คร๊าบ อิอิ ^_^



อย่าลืม รีบอ่าน รีบนำไปใช้ จะได้เป็น "ขั้นเทพ" เพื่อให้แอดฯ ติดทุกคนนะคร๊าบ สู้ๆๆ



ลาเต้ลิขิต : ไหนๆ ใครจะเป็นขั้นเทพ โดยซื้อหนังสือเล่มนี้บ้าง ยกมือขึ้น !! ว้าวๆๆๆ

วันพุธที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2553

"วิศวะ"

วิศวกรรมนาโน

หลายคนคงอาจจะไม่เคยได้ยินคำว่า " นาโนเทคโนโลยี " ด้วยซ้ำ แต่บางคนอาจจะผ่านๆ หูมาบ้าง แต่ไม่รู้จักว่ามันคืออะไร มีข้อดีข้อเสียอย่างไร แต่ ณ วินาทีนี้ " นาโนเทคโนโลยี " กำลังจะกลายเป็นโครงการศึกษาและวิจัยในระดับชาติ วันนี้หน้าการศึกษาจึงนำเรื่องราวและที่มาที่ไปของ " นาโนเทคโนโลยี " มาฝากกัน นาโนเทคโนโลยี คืออะไรถ้ามองจากรากศัพท์แล้ว ก็น่าจะมาจากคำว่า " นาโน " ที่เป็นระดับขนาดหรือ ความยาว ตามมาตราเมตริก หรือมีขนาด 1 นาโมเมตรเท่ากับ 10 ยกกำลัง -9 ของ 1 เมตร กับคำว่า " เทคโนโลยี " ซึ่งหมายถึงวิวัฒนาการ ความก้าวหน้า ถ้านำมารวมกันและแปลความหมายแบบคร่าวๆ ก็น่าจะเป็น ความก้าวหน้าระดับ นาโนเมตร

ทีนี้ลองจินตนาการดูว่า ถ้าเราสามารถผลิตชิ้นส่วน หรือสิ่งใดก็ได้ โดยมีค่าใช้จ่ายถูกแสนถูก ซึ่งสามารถประกอบตัวกันขึ้นมาเป็นรูปเป็นร่าง เหมือนกับการนำความต่างศักย์ทางไฟฟ้า ในรูปของ บิท (bit) มาประกอบกันเป็นข้อมูลด้านต่างๆ จนกลายเป็นคอมพิวเตอร์ในยุคปัจจุบันได้ แล้วอะไรจะเกิดขึ้น ... การผสมผสานกันของเทคโนโลยีด้านเคมีวิทยา และวิศวกรรมศาสตร์ ทำให้เกิดเทคโนโลยีใหม่ ที่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกในอนาคตเป็นอีกรูปแบบได้ เรียกว่า " นาโนเทคโนโลยี " ทำให้เกิดยุคที่เครื่องยนต์กลไก สามารถสร้างตัวเองขึ้นใหม่ได้ ทำให้ได้สินค้าอุปโภคบริโภคที่ราคาถูก เพราะเราสร้างสิ่งต่างๆ จากหน่วยของอะตอม นาโนเทคโนโลยี จึงเป็นอุตสาหกรรมระดับโมเลกุล ( โมเลกุล คือการประกอบกันของอะตอม เพื่อหน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่ง ) หรือการสร้างสิ่งต่างๆจากอะตอม ในหน่วยวัดระดับนาโนเมตร หรือมีขนาดเพียง 1/1,000,000,000 เมตรเท่านั้น ( เล็กขนาดที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น )

อะไรมันจะอภิมหาจิ๋วขนาดนั้นและด้วยความสามารถในระดับที่ลึกนี่เอง ทำให้เราสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆในระดับอะตอมได้ เป็นผลให้เราสามารถเข้าไปควบคุม หรือสร้างสิ่งต่างๆที่น่าจะเป็นไปได้ในด้านต่างๆได้ อาทิ สินค้าที่สร้างตัวเองได้ , คอมพิวเตอร์เร็วขึ้นล้านเท่า , การเดินทางในอวกาศ , การไขปริศนาโรคภัยไข้เจ็บ รวมถึงความเป็นอมตะ , การสร้างอาหารที่ไม่มีวันหมด , การกระจายการศึกษาอย่างทั่วถึงทุกมุมโลก , การเพาะพันธุ์สัตว์ที่สูญพันธุ์ขึ้นใหม่ , การใช้พลังงานแสงอาทิตย์อย่างเต็มที่ และสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆอีกมายมาก ตามแต่มนุษย์จะจินตนาการไปถึง ในโลกของสารสนเทศ ดิจิตอลเทคโนโลยี สามารถสร้างตัวเองใหม่ ด้วยความรวดเร็ว และสมบูรณ์ ในราคาที่ถูกได้ แล้วจะเป็นไรไป ถ้าหากว่าแนวความคิดนี้ สามารถนำมาใช้ในโลกที่เราจับต้องได้ถ้าคุณสามารถรักษาโรคมะเร็ง โดยการดื่มเพียงน้ำผลไม้ ที่มีหุ่นยนต์จิ๋วแบบที่มองไม่เห็น ซึ่งมีหน้าที่รักษาโรคต่างๆ ตามที่โปรแกรมไว้ มีซูเปอร์คอมพิวเตอร์มีขนาดเล็กเท่าเซลล์ของมนุษย์ คุณสามารถไปท่องเที่ยวทั่วจักรวาลได้ ด้วยค่าใช้จ่ายที่เท่ากับไปต่างจังหวัด

ปฐมบทของนาโนเทคโนโลยี นาโนเทคโนโลยี เกิดขึ้นที่ห้องแลปของซีร็อกซ์ ที่ชื่อว่า PARC (Xerox's Palo Alto Research Center) ซึ่งเป็นแหล่งต้นกำเนิด ของเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าด้านต่างๆ ของโลกในปัจจุบัน โมเสค (Mosaic) ซึ่งต่อมากลายเป็น เนทสเคป (Netscape) ก็เป็นตัวอย่างหนึ่ง โดยย้อนกลับไปเมื่อปี 2519 นาย Ralphe Merkle กับบัณฑิตจากสแตนฟอร์ดจำนวนหนึ่ง พัฒนาเทคโนโลยีเข้ารหัสในคอมพิวเตอร์ ที่ต่อมาชื่อ Pretty Good Privacy ขึ้น ขณะเดียวกัน ก็ใช้เวลาว่าง จำลองสิ่งต่างๆในระดับโมเลกุลขึ้นมา โดยคิดว่า อุตสาหกรรม ควรสร้างสิ่งต่างๆมาจากระดับโมเลกุล เพื่อให้ได้สิ่งที่ถูกต้องสมบูรณ์ อาทิ เครื่องมือผ่าตัดในปัจจุบัน มีขนาดใหญ่เกินไป ถ้าเราสามารถสร้างเครื่องมือที่มีขนาดเท่าโมเลกุล ( สามารถตัดสินใจเองได้ ด้วยคอมพิวเตอร์ระดับโมเลกุล จะทำให้เราฉีดเข้าไปในร่างกาย เพื่อรักษาโรคมะเร็ง ฆ่าแบคทีเรีย ไวรัส หรือกำจัด ไขมันอุดตันในเส้นเลือดได้

แต่ความจริง ความคิดนี้ได้ ถูกเผยแพร่มาตั้งแต่ปี 2502 แล้ว โดย นักวิทยาศาสตร์ที่ชื่อ Richard P. Feynman แต่ใช้คำว่า Minimanufacturing ยิ่งกว่านั้น ในปี 2532 สถาบันโฟร์ไซธ์ (Foresight Institue) ได้ตัดสินใจ มุ่งเน้นวิจัยนาโนเทคโนโลยีอย่างจริงจัง ซึ่งสร้างความฉงน และได้รับคำเยาะเย้ยจากผู้ที่ยังมองภาพไม่ออกพอสมควร แต่ทันทีที่เปิดสัมนาขึ้น กลับมีนักวิทยาศาสตร์จากทั่วโลก เข้าร่วมกว่า 300 คน และในปี 2539 มีนักเคมีในสาขาเคมี ได้รับรางวัลโนเบล จากการคิดค้น "nanotubes" ที่มีขนาดเล็กว่าเส้นผมของมนุษย์ 1/50,000 เท่า เมื่อนำมาประกอบกัน จะแข็งกว่าเหล็ก 100 เท่า ซึ่งคาดว่าจะสามารถนำมาทำอุปกรณ์ต่างๆ ได้ในอนาคตอันใกล้นี้ ทำให้นาโนเทคโนโลยี ได้รับความสนใจจากบุคคลทั่วไป และสื่อต่างๆ มากขึ้น

แล้วทั่วโลกมีความเคลื่อนไหว ในเรื่องนี้อย่างไร รัฐบาลญี่ปุ่น - เห็นความสำคัญของ จักรกลขนาดจิ๋ว ว่าจะเป็นเทคโนโลยีแห่งอนาคต จึงสนับสนุนด้านเงินทุน ผ่านกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าระหว่างประเทศ (MITI) ในการร่วมมือกับ บริษัทในยุโรปพัฒนานาโนเทคโนโลยี นอกจากนี้ยังมี มหาวิทยาลัยเทคนิคอล ของเดนมาร์ก และ มหาวิทยาลัยเบอร์มิงตัน ของอังกฤษ ที่จับมือกันวิจัยนาโนเทคอย่างลึกซึ้ง ยิ่งกว่านั้น ในอเมริกา หน่วยงานของรัฐกว่า 10 แห่ง ที่มีการให้เงินทุนวิจัยด้าน โมเลกุลาร์ นาโนเทคโนโลยี ทั้งหน่วยงานด้าน สาธารณสุข , พลังงาน , ทหาร , นาซ่า รวมถึง มหาวิทยาลัยชั้นนำ เช่น เอ็มไอที , สแตนฟอร์ด , คอร์เนลล์ และ ไรซ์ ต่างก็มีงานวิจัยด้านนี้เช่นกัน ...

และเทคโนโลยีสุดท้ายของยุคหน้าก็คือ นาโนเทคโนโลยี ที่สามารถทำสิ่งประดิษฐ์ให้เล็กขนาดเท่าโมเลกุล สามารถสั่งงานได้ตามต้องการ เช่น เรามีหุ่นยนต์จิ๋วขนาดเท่าไวรัส ก็ตั้งโปรแกรมให้ไปทำลายไวรัสตัวนั้น หรือไปจับแยกออกจากเม็ดเลือดขาว เพื่อรักษาโรคเอดส์ได้ ด้วยการทานเม็ดแคปซูลที่บรรจุหุ่นยนต์จิ๋วเม็ดละ 1 พันตัว เข้าไปมื้อละ 2 เม็ดเท่านั้น เป็นต้น

ลองมามองในมุมมืดดูบ้าง ถ้ามีคนสามารถสร้างนาโนเทคโนโลยี เป็นอาวุธทำลายล้าง แต่ไม่ใช่ระเบิดอย่างที่เป็นมา แต่เป็นการเจาะจงทำลาย เช่น ตั้งโปรแกรมให้ผู้ที่มีตาสีฟ้า ผมสีบรอนซ์ เป็นมะเร็งให้หมด คนที่มีเชื้อสาย จีน หัวใจวายทั้งหมด แล้วจะเป็นอย่างไร ร้ายขึ้นไปอีก เมื่อสามารถจำลองเซลล์ ของ ฮิตเลอร์ สตาลิน ขึ้นมาใหม่ได้ หรือสร้างเครื่องยนต์สังหาร ตามล้างตามล่า เป้าหมายที่สามารถระบุรูปพรรณสัณฐานได้อะไรจะเกิดขึ้น

สถานการณ์นาโนศาสตร์ในประเทศไทย

ธันวาคม 2538 - เริ่มดำเนินการวิจัยทางด้าน Computational Nanoscience โดย ดร . ธีรเกียรติ์ ที่ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ณ เวลานั้นคนส่วนใหญ่ในเมืองไทยคิดว่า " นาโนเทคโนโลยี " เป็นเรื่องไร้สาระ

กรกฎาคม 2542 - ก่อตั้งกลุ่มนาโนเทคโนโลยีและอิเล็กทรอนิกส์เชิงโมเลกุล มี ดร . ธนากร และ ดร . ธีรเกียรติ์ เปิดศักราชด้านนาโนเทคโนโลยีเป็นครั้งแรกในประเทศไทย คนส่วนใหญ่ในเมืองไทยก็ยังคิดว่า " นาโนเทคโนโลยี " เป็นเรื่องเพ้อฝัน

กรกฎาคม 2543 - คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล สนับสนุนการปรับปรุงห้องปฏิบัติการทางด้านนาโนศาสตร์ ดร . เติมศักดิ์ และ ดร . อุดม เข้าร่วมทีม ได้รับการสนับสนุนเพราะอยากให้มีการรวมทีมทำงานวิจัย แต่เรื่อง " นาโนเทคโนโลยี " ยังคงถูกมองว่าไกลความจริง กรกฎาคม 2544 - สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย ( สกว .) อนุมัติให้ดำเนินการวิจัยทางด้านอุปกรณ์โมเลกุล นับเป็นโครงการวิจัยทางด้านนาโนศาสตร์ โครงการแรกของประเทศไทยที่ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานระดับชาติ แม้จะมีคนสนใจพอสมควร แต่มักมี question mark ในใจว่ามันจะไปรอดเหรอ

พฤศจิกายน 2544 - คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล อนุมัติจัดตั้ง หน่วยสร้างเสริมศักยภาพทางนาโนศาสตร์ เป็นศูนย์วิจัยทางนาโนศาสตร์แห่งแรกของประเทศไทย ได้รับการสนับสนุนท่ามกลางความกังขาในเรื่องของประสบการณ์การทำวิจัย

ธันวาคม 2544 - สภาบัณฑิตวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย ( บวท .) จัดประชุมระดมสมองด้านนาโนเทคโนโลยีเป็นครั้งแรกในเมืองไทย ประสบความสำเร็จในแง่ของจำนวนผู้เข้าร่วมประชุม แต่ทัศนคติโดยมากยังไม่คิดว่าประเทศไทยจะพร้อมทำวิจัยด้านนี้

มีนาคม 2545 - ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล จัด Summer School o­n Nanoscience and Nanotechnology

ตุลาคม 2545- มีการจัดการประชุม Nanotechnology for the ASEAN Region ขึ้นในประเทศไทย

ธันวาคม 2545- ท่านนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ประกาศสนับสนุนการวิจัยทางนาโนเทคโนโลยีเพื่อให้ประเทศไทยพัฒนาแบบก้าวกระโดด เพื่อนำประเทศในภูมิภาคนี้

และล่าสุดเมื่อวันที่ 23 ธ . ค .46 พ . ต . ท . ทักษิณ ได้มอบนโยบายให้แก่คณะรัฐมนตรีอีกครั้งในการพัฒนานาโนเทคโนโลยี โดยมุ่งมั่นจะนำมาใช้เพิ่มผลผลิตของประเทศ

สามารถดูรายละเอียดของคณะวิศวกรรมนาโนได้ที่ http://ise.eng.chula.ac.th/ เป็นภาษาอังกฤษค่ะลืมบอกไปว่าคณะนี่เป็นอินเตอร์ค่ะ

แล้วถ้าท่านสนใจเรื่อง- นาโนเทคโนโลยี((ภาคสอง))...ก็เชิญท่านได้ที่ http://my.dek-d.com/HiUkO/story/view.php?id=129473 ค่ะ

- นาโนเทคโนโลยี((ภาคหนึ่ง))...ก็เชิญท่านได้ที่ http://my.dek-d.com/HiUkO/story/view.php?id=104679